ABOUT THE SPEAKER
Marc Pachter - Cultural Historian
Marc Pachter has spent his career curating and creating intimate portraits of the lives of others.

Why you should listen

Marc Pachter is a man of many talents, and it seems he's used every one of them during his 33 years at the Smithsonian Institution. Although he has devoted most of his career to one organization, with the single goal of capturing the lives of great Americans, to do so he has played multiple roles. He began his time at the Smithsonian just after a five-year stint at Harvard, where he earned a master's in history and taught Colonial history.  Since that time he has served as acting director of the National Museum of American History, chaired the celebration of the Smithsonian's 150th anniversary, created the first national portrait competition, organized the first national conference on biography and created an interview program called "Living Self-Portaits" which earned him the title of Smithsonian "master interviewer."

In his final years at the Smithsonian, Pachter was director of the National Portrait Gallery Director, retiring in 2007 to work on his writing. Pachter has authored two books, Telling Lives: The Biographer's Art and A Gallery of Presidents, and is editor of several more. In addition, he holds an editorial role at the peer-reviewed journal Biography and was senior cultural advisor to the United States Information Agency for some years.

More profile about the speaker
Marc Pachter | Speaker | TED.com
EG 2008

Marc Pachter: The art of the interview

มาร์ค แพทเทอร์: ศิลปะแห่งการสัมภาษณ์

Filmed:
881,663 views

มาร์ค แพทเทอร์ ดำเนินรายการสัมภาษณ์ถ่ายทอดสดกับเหล่าคนดังในประวัติศาสตร์อเมริกาที่น่าสนใจเพื่อบันทึกเป็นส่วนหนึ่งในซีรี่ของแกลอรี่รูปบุคคลของสมิตโซเนียน มาร์คเผยความลับของการสัมภาษณ์ที่ดีและแชร์เรื่องอัศจรรย์ต่างๆตอนที่เขาได้พูดคุยกับสตีฟ มาร์ติน, แคร์ บู๊ท ลูซและอีกมากมาย
- Cultural Historian
Marc Pachter has spent his career curating and creating intimate portraits of the lives of others. Full bio

Double-click the English transcript below to play the video.

00:15
The Nationalแห่งชาติ Portraitภาพเหมือน Galleryเฉลียง is the placeสถานที่ dedicatedทุ่มเท
0
0
4000
เดอะ เนชันนัล พอร์เทรด แกลอรี่คือที่สำหรับอุทิศให้
00:19
to presentingนำเสนอ great Americanอเมริกัน livesชีวิต,
1
4000
2000
คนที่นำเสนอชีวิตคนอเมริกันที่ดีๆ
00:21
amazingน่าอัศจรรย์ people.
2
6000
2000
หรือคนที่น่าสนใจ
00:23
And that's what it's about.
3
8000
2000
และนั่นคือเนื้อหาทั้งหมดในแกลอรี่
00:25
We use portraitureการวาดภาพคน as a way to deliverส่งมอบ those livesชีวิต, but that's it.
4
10000
4000
เราใช้รูปบุคคลเพื่อนำเสนอชีวิตต่างๆ แต่มันก็แค่นั้น
00:29
And so I'm not going to talk about the paintedทาสี portraitภาพเหมือน todayในวันนี้.
5
14000
4000
วันนี้ผมจะไม่พูดถึงภาพวาดบุคคล
00:33
I'm going to talk about a programโครงการ I startedเริ่มต้น there,
6
18000
3000
แต่ผมจะพูดเรื่องโปรแกรมที่ผมได้เริ่มทำที่นั่น
00:36
whichที่, from my pointจุด of viewดู, is the proudestที่น่าภาคภูมิใจ thing I did.
7
21000
5000
ซึ่งในความเห็นของผมแล้ว มันเป็นผลงานที่ผมภูมิใจที่สุดเลย
00:41
I startedเริ่มต้น to worryกังวล about the factความจริง
8
26000
4000
ผมมาเริ่มกังวลเกี่ยวกับความจริงที่ว่า
00:45
that a lot of people don't get theirของพวกเขา portraitsการถ่ายภาพบุคคล paintedทาสี anymoreอีกต่อไป,
9
30000
3000
มีผู้คนมากมายไม่ได้ถูกวาดภาพเป็นภาพบุคคล
00:48
and they're amazingน่าอัศจรรย์ people,
10
33000
2000
ทั้งที่พวกเขาเป็นคนที่น่าชื่นชม
00:50
and we want to deliverส่งมอบ them to futureอนาคต generationsชั่วอายุคน.
11
35000
3000
และพวกเราอยากจะถ่ายทอดเรื่องราวพวกเขาให้คนรุ่นหลัง
00:53
So, how do we do that?
12
38000
2000
ผมเลยคิดว่าพวกเราจะทำยังไงละ
00:55
And so I cameมา up with the ideaความคิด of the livingการดำรงชีวิต self-portraitภาพเหมือน seriesชุด.
13
40000
2000
ผมก็เลยได้ความคิดทำซีรี่ภาพบุคคลมีชีวิตนี่ขึ้นมา
00:57
And the livingการดำรงชีวิต self-portraitภาพเหมือน seriesชุด was the ideaความคิด of basicallyเป็นพื้น
14
42000
4000
และด้วยโปรเจคภาพบุคคลมีชีวิตนี้
01:01
my beingกำลัง a brushแปรง in the handมือ
15
46000
2000
ผมได้ลงมือคัดคนที่
01:03
of amazingน่าอัศจรรย์ people who would come and I would interviewสัมภาษณ์.
16
48000
3000
อยากให้สัมภาษณ์และเป็นคนที่ผมอยากสัมภาษณ์ด้วย
01:06
And so what I'm going to do is, not so much give you
17
51000
3000
ดังนั้นผมจะไม่เล่าให้คุณฟังว่า
01:09
the great hitsเพลงฮิต of that programโครงการ,
18
54000
2000
โปรแกรมได้เสียงตอบรับดียังไง
01:11
as to give you this wholeทั้งหมด notionความคิด
19
56000
2000
อย่างที่คนทั่วประเทศทราบว่า
01:13
of how you encounterพบ people in that kindชนิด of situationสถานการณ์,
20
58000
3000
คุณพบคนพวกนี้ได้อย่างไร
01:16
what you try to find out about them,
21
61000
2000
อะไรที่คุณพยายามมองหาในตัวพวกเขา
01:18
and when people deliverส่งมอบ and when they don't and why.
22
63000
4000
และเมื่อไหร่ที่คนเหล่านี้ยอมถ่ายทอดเรื่องราว หรือไม่ เพราะอะไร
01:23
Now, I had two preconditionsปัจจัยพื้นฐาน.
23
68000
3000
ตอนนี้ ผมมีสิ่งจำเป็นสองอย่าง
01:26
One was that they be Americanอเมริกัน.
24
71000
2000
หนึ่งคือพวกเขาต้องเป็นชาวอเมริกา
01:28
That's just because, in the natureธรรมชาติ of the Nationalแห่งชาติ Portraitภาพเหมือน Galleryเฉลียง,
25
73000
3000
นั่นเป็นเพราะโดยทั่วไปของ เดอะ เนชันนัล โพเทรด แกลอรี่
01:31
it's createdสร้าง to look at Americanอเมริกัน livesชีวิต.
26
76000
3000
ต้องการนำเสนอชีวิตชาวอเมริกาอยู่แล้ว
01:34
That was easyง่าย, but then I madeทำ the decisionการตัดสิน,
27
79000
3000
นั่นเป็นเรื่องง่าน แต่แล้วผมตัดสินใจ
01:37
maybe arbitraryโดยพลการ,
28
82000
2000
ค่อนข้างโดยพลการ
01:39
that they neededจำเป็น to be people of a certainบาง ageอายุ,
29
84000
4000
ที่จะเลือกคนในกลุ่มอายุหนึ่ง
01:43
whichที่ at that pointจุด, when I createdสร้าง this programโครงการ,
30
88000
2000
ซึ่งในตอนที่ผมทำโปรแกรมนี้
01:45
seemedดูเหมือน really oldเก่า.
31
90000
2000
เรียกว่าค่อนข้างแก่
01:47
Sixtiesอายุหกสิบเศษ, seventiesอายุเจ็ดสิบ, eightiesแปด and ninetiesยุค.
32
92000
3000
หกสิบ เจ็ดสิบ แปดสิบ และ เก้าสิบ
01:50
For obviousชัดเจน reasonsเหตุผล, it doesn't seemดูเหมือน that oldเก่า anymoreอีกต่อไป to me.
33
95000
2000
ด้วยเหตุผลที่เห็นได้ชัดว่า ผมไม่เห็นว่าพวกเขาแก่ตรงไหน
01:52
And why did I do that?
34
97000
2000
ทำไมผมทำแบบนั้นนะหรอ
01:54
Well, for one thing, we're a youth-obsessedเยาวชนหลง cultureวัฒนธรรม.
35
99000
2000
เออ ด้วยเหตุหนึ่งคือ พวกเราเป็นวัฒนธรรมลุ่มหลงในความเป็นเด็ก
01:56
And I thought really what we need is an eldersผู้เฒ่าผู้แก่ programโครงการ
36
101000
4000
และผมคิดจริงๆว่าพวกเราต้องการโปรแกรมเกี่ยวกับเหล่าผู้ใหญ่
02:00
to just sitนั่ง at the feetฟุต of amazingน่าอัศจรรย์ people and hearได้ยิน them talk.
37
105000
4000
แค่นั่งฟังเรื่องราวจากปากของคนที่น่าชื่นชมพวกนี้
02:04
But the secondที่สอง partส่วนหนึ่ง of it -- and the olderเก่ากว่า I get,
38
109000
4000
แต่ในส่วนที่สองนี่ซิครับ ยิ่งผมได้คนอายุมากเท่าไหร่
02:08
the more convincedมั่นใจ I am that that's trueจริง.
39
113000
3000
ก็ยิ่งเชื่อมั่นว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องจริง
02:11
It's amazingน่าอัศจรรย์ what people will say when they know
40
116000
3000
มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์เมื่อคนเหล่านั้นพูดทั้งที่
02:14
how the storyเรื่องราว turnedหัน out.
41
119000
2000
พวกเขารู้ว่าเรื่องมันจะเป็นอย่างไรต่อไป
02:16
That's the one advantageความได้เปรียบ that olderเก่ากว่า people have.
42
121000
4000
นั่นเป็นข้อได้เปรียบของเหล่าคนที่อายุมากกว่ามี
02:20
Well, they have other, little bitบิต of advantageความได้เปรียบ,
43
125000
2000
และพวกเขาก็มีอีกสิ่งที่เป็นข้อได้เปรียบ
02:22
but they alsoด้วย have some disadvantagesข้อเสีย,
44
127000
2000
แต่พวกเขาก็มีข้อด้อยเหมือนกัน
02:24
but the one thing they or we have is that
45
129000
2000
แต่สิ่งที่พวกเขาหรือพวกเรามีก็คือ
02:26
we'veเราได้ reachedถึง the pointจุด in life
46
131000
2000
พวกเรามาจุดหนึ่งของชีวิต
02:28
where we know how the storyเรื่องราว turnedหัน out.
47
133000
3000
ที่พวกเรารู้ว่าเรื่องราวมันจะออกมาเป็นอย่างไร
02:31
So, we can then go back in our livesชีวิต,
48
136000
2000
ดังนั้นพวกเราสามารถย้อนนึกถึงช่วงเวลานั้นๆได้
02:33
if we'veเราได้ got an interviewerผู้สัมภาษณ์ who getsได้รับ that,
49
138000
3000
ถ้าเราได้คนสัมภาษณ์ที่สามารถนำไปสู่เรื่องนั้นได้
02:36
and beginเริ่ม to reflectสะท้อน on how we got there.
50
141000
4000
และนำเรื่องเพื่อสะท้อนว่าเรื่องเป็นมาได้อย่างไร
02:40
All of those accidentsการเกิดอุบัติเหตุ that woundบาดแผล up
51
145000
3000
เหตุการณ์เหล่านี้รวมทั้งหมด
02:43
creatingการสร้าง the life narrativeการเล่าเรื่อง that we inheritedรับการถ่ายทอด.
52
148000
3000
เพื่อสร้างการเล่าเรื่องชีวิตของพวกเรา
02:46
So, I thought okay, now,
53
151000
2000
ดังนั้นผมคิดว่า โอเค ตอนนี้
02:48
what is it going to take to make this work?
54
153000
3000
อะไรเป็นส่วนที่จะทำให้สิ่งนี้สำเร็จละ
02:51
There are manyจำนวนมาก kindsชนิด of interviewsการสัมภาษณ์. We know them.
55
156000
2000
มีการสัมภาษณ์มากมายหลายประเภท พวกเราต่างรูกัน
02:53
There are the journalistนักข่าว interviewsการสัมภาษณ์,
56
158000
2000
อย่างเช่นการสัมภาษณ์แบบนักข่าว
02:55
whichที่ are the interrogationคำถาม that is expectedที่คาดหวัง.
57
160000
2000
ซึ่งคือ การสัมภาษณ์แบบสืบสวนในสิ่งที่คาดหวัง
02:57
This is somewhatค่อนข้าง againstต่อต้าน resistanceความต้านทาน
58
162000
2000
ซึ่งเป็นสิ่งที่คนให้สัมภาษณ์รู้สึกกดดัน
02:59
and caginesscaginess on the partส่วนหนึ่ง of the intervieweeผีตายโหง.
59
164000
4000
และเหมือนถูกขัง
03:03
Then there's the celebrityชื่อเสียง interviewสัมภาษณ์,
60
168000
2000
แล้วก็มีการสัมภาษณ์เหล่าคนดัง
03:05
where it's more importantสำคัญ who'sใคร askingถาม the questionคำถาม than who answersคำตอบ.
61
170000
3000
ซึ่งสำคัฐที่คนถามคำถามมากกว่าคนตอบ
03:08
That's Barbaraบาร์บาร่า Waltersวอลเตอร์ส and othersคนอื่น ๆ like that, and we like that.
62
173000
4000
เหมือนกับบาบารา วอร์เทอร์ และคนอื่นๆ และพวกเราเป็นแบบนั้น
03:12
That's Frost-Nixonน้ำค้างแข็งนิกสัน, where Frostน้ำค้างแข็ง seemsดูเหมือนว่า to be as importantสำคัญ
63
177000
3000
อย่างฟรอสกับนิกสัน ดูแล้วฟรอสจะมีความสำคัญมากกว่า
03:15
as Nixonนิกสัน in that processกระบวนการ.
64
180000
2000
นิกสันเสียอีก
03:17
Fairธรรม enoughพอ.
65
182000
2000
ก็แฟร์นะครับ
03:19
But I wanted interviewsการสัมภาษณ์ that were differentต่าง.
66
184000
2000
แต่ผมอยากได้การสัมภาษณ์ที่มันต่างออกไป
03:21
I wanted to be, as I laterต่อมา thought of it, empathicที่เอาใจใส่,
67
186000
7000
ผมอยากจะเป็นแบบที่ตอนหลังผมเรียกว่าเห็นอกเห็นใจ
03:28
whichที่ is to say, to feel what they wanted to say
68
193000
5000
ซึ่งพูดได้ว่าอยากสัมภาษณ์ในเรื่องที่พวกเขาอยากจะพูด
03:33
and to be an agentตัวแทน of theirของพวกเขา self-revelationเปิดเผยตัวเอง.
69
198000
4000
และเป็นเหมือนสื่อกลางให้พวกเขาได้เผยตัวเองออกมา
03:37
By the way, this was always doneเสร็จแล้ว in publicสาธารณะ.
70
202000
2000
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นการสัมภาษณ์ต่อสาธารณะ
03:39
This was not an oralทางปาก historyประวัติศาสตร์ programโครงการ.
71
204000
2000
นี่ไม่ใช่รายการสัมภาษณ์ประวัติศาสตร์บุคคล
03:41
This was all about 300 people sittingนั่ง at the feetฟุต of this individualรายบุคคล,
72
206000
5000
นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับคน 300 คน มานั่งทีละคน
03:46
and havingมี me be the brushแปรง in theirของพวกเขา self-portraitภาพเหมือน.
73
211000
4000
แล้วให้ผมค่อยๆวาดภาพบุคคลออกมา
03:50
Now, it turnsผลัดกัน out that I was prettyน่ารัก good at that.
74
215000
3000
แล้วกลับกลายเป็นว่าผมค่อนข้างเก่งกับสิ่งนี้ซะด้วย
03:53
I didn't know it comingมา into it.
75
218000
2000
ผมไม่รู้มาก่อน จู่ๆมันก็มาเอง
03:55
And the only reasonเหตุผล I really know that
76
220000
2000
และเหตุผลเดียวที่ผมมีในตอนนี้
03:57
is because of one interviewสัมภาษณ์ I did with Senatorวุฒิสมาชิก Williamวิลเลียม Fulbrightฟุลไบรท์,
77
222000
5000
คือเพราะการสัมภาษณ์หนึ่งที่ผมสัมภาษณืกับ สว. วิลเลียม ฟูล์ไบรท์
04:02
and that was sixหก monthsเดือน after he'dเขาต้องการ had a strokeลากเส้น.
78
227000
4000
และนั่นก็ประมาณ6เดือนหลังจากที่ท่านเป็นหลอดเลือดสมอง
04:06
And he had never appearedปรากฏ in publicสาธารณะ sinceตั้งแต่ that pointจุด.
79
231000
2000
และท่านก็ยังไม่เคยออกสื่อเลยนับตั้งแต่ป่วย
04:08
This was not a devastatingซึ่งล้างผลาญ strokeลากเส้น,
80
233000
2000
นี่ไม่ใช่โรคหลอดเลือดสมองที่ร้ายแรงอะไรหรอกครับ
04:10
but it did affectมีผลต่อ his speakingการพูด and so forthออกมา.
81
235000
3000
แต่มันกระทบกับการพูดและการสื่อสารออกมา
04:13
And I thought it was worthคุ้มค่า a chanceโอกาส,
82
238000
2000
ผมก็คิดว่ามันคุ้มที่จะลองดู
04:15
he thought it was worthคุ้มค่า a chanceโอกาส,
83
240000
2000
ท่านก็คิดว่ามันคุ้มที่จะลองเหมือนกัน
04:17
and so we got up on the stageเวที,
84
242000
2000
แล้วเราสองคนก็ขึ้นเวที
04:19
and we had an hourชั่วโมง conversationการสนทนา about his life,
85
244000
3000
และพวกเราก็คุยกันเรื่องชีวิตของท่านเป็นชั่วโมง
04:22
and after that a womanหญิง rushedซึ่งได้วิ่ง up to me,
86
247000
3000
หลังจากนั้นผู้หญิงคนนึงวิ่งมาหาผม
04:25
essentiallyเป็นหลัก did,
87
250000
2000
แบบรีบเร่งจริงๆ
04:27
and she said, "Where did you trainรถไฟ as a doctorคุณหมอ?"
88
252000
3000
และเธอพูดว่า "คุณไปฝึกเป็นหมอมาจากไหนคะ"
04:30
And I said, "I have no trainingการอบรม as a doctorคุณหมอ. I never claimedอ้างว่า that."
89
255000
4000
ผมตอบว่า "ผมไม่เคยฝึกอบรมหมอครับ ไม่เคยเลย"
04:34
And she said, "Well, something very weirdแปลก was happeningสิ่งที่เกิดขึ้น.
90
259000
4000
เธอบอกผมว่า "หรอคะ มีบางอย่างแปลกๆตอนที่
04:38
When he startedเริ่มต้น a sentenceประโยค, particularlyโดยเฉพาะ
91
263000
2000
ที่ท่านเริ่มประโยคในช่วง
04:40
in the earlyตอนต้น partsชิ้นส่วน of the interviewสัมภาษณ์,
92
265000
3000
ต้นๆของการสัมภาษณ์
04:43
and pausedหยุดชั่วคราว, you gaveให้ him the wordคำ,
93
268000
2000
แล้วพอท่านหยุด คุณก็ต่อคำท่าน
04:45
the bridgeสะพาน to get to the endปลาย of the sentenceประโยค,
94
270000
3000
เพื่อเชื่อมให้จบประโยคได้
04:48
and by the endปลาย of it,
95
273000
2000
และในตอนจบนั่น
04:50
he was speakingการพูด completeสมบูรณ์ sentencesประโยค on his ownด้วยตัวเอง."
96
275000
3000
ท่านก็พูดประโยคจนครบด้วยตัวท่านเอง"
04:53
I didn't know what was going on,
97
278000
2000
ผมไม่รู้หรอกครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น
04:55
but I was so partส่วนหนึ่ง of the processกระบวนการ of gettingได้รับ that out.
98
280000
3000
แต่ผมรู้สึกว่าผมเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนนั้นในการนำเสนอ
04:58
So I thought, okay, fine, I've got empathyการเอาใจใส่,
99
283000
4000
ดังนั้นผมเลยคิดว่า โอเค ผมได้รับความสนใจ
05:02
or empathyการเอาใจใส่, at any rateอัตรา,
100
287000
2000
หรือเอาใจใส่ในบางส่วน
05:04
is what's criticalวิกฤติ to this kindชนิด of interviewสัมภาษณ์.
101
289000
2000
ในการสัมภาษณ์ที่มีคนวิพากษณ์วิจารณ์นี้
05:06
But then I beganเริ่ม to think of other things.
102
291000
2000
แต่แล้วผมเริ่มที่จะคิดถึงเรื่องอื่นๆ
05:08
Who makesยี่ห้อ a great interviewสัมภาษณ์ in this contextบริบท?
103
293000
4000
ว่าใครกันที่จะทำให้การสัมภาษณ์ในเรื่องนี้น่าสนใจ
05:12
It had nothing to do with theirของพวกเขา intellectสติปัญญา,
104
297000
2000
มันไม่เกี่ยวกับเรื่องการศึกษาของคนๆนั้น
05:14
the qualityคุณภาพ of theirของพวกเขา intellectสติปัญญา.
105
299000
2000
คุณภาพของสติปัญญา
05:16
Some of them were very brilliantสุกใส,
106
301000
2000
บางคนก็เยี่ยมมากๆเลยครับ
05:18
some of them were,
107
303000
2000
บางคนก็
05:20
you know, ordinaryสามัญ people who would never claimข้อเรียกร้อง to be intellectualsปัญญาชน,
108
305000
3000
อย่างที่คุณรู้ว่าเป็นคนธรรมดาที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนมีการศึกษาสูงส่ง
05:23
but it was never about that.
109
308000
3000
แต่มันก็ไม่เกี่ยวกันเลย
05:26
It was about theirของพวกเขา energyพลังงาน.
110
311000
3000
มันเกี่ยวกับพลังของพวกเขา
05:29
It's energyพลังงาน that createsสร้าง extraordinaryวิสามัญ interviewsการสัมภาษณ์
111
314000
3000
พลังที่จะสร้างสิ่งอัศจรรย์น่าทึ่งให้กับบทสัมภาษณ์
05:32
and extraordinaryวิสามัญ livesชีวิต.
112
317000
2000
และความน่าทึ่งของชีวิต
05:34
I'm convincedมั่นใจ of it.
113
319000
2000
ผมเชื่อมั่นในสิ่งนั้น
05:36
And it had nothing to do with the energyพลังงาน of beingกำลัง youngหนุ่มสาว.
114
321000
3000
และไม่คิดว่าพลังของหนุ่มสาวนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องเลย
05:39
These were people throughตลอด theirของพวกเขา 90s.
115
324000
2000
นึ่คือเหล่ากลุ่มคนพวกนี้อายุเลยเก้าสิบแล้ว
05:41
In factความจริง, the first personคน I interviewedสัมภาษณ์
116
326000
2000
ที่จริงคนแรกที่ผมสัมภาษณ์นั้น
05:43
was Georgeจอร์จ Abbottแอ๊บบอต, who was 97,
117
328000
3000
คือ จอร์ช แอบบ๊อท ซึ่งอายุ97
05:46
and Abbottแอ๊บบอต was filledเต็มไปด้วย with the life forceบังคับ --
118
331000
3000
และอาบ๊อทนั้นมีชีวิตที่เต็มไปด้วยพลัง
05:49
I guessเดา that's the way I think about it -- filledเต็มไปด้วย with it.
119
334000
2000
ผมเดาว่านั่นเป็นวิธีคิดของผม --เติมเต็มมัน
05:51
And so he filledเต็มไปด้วย the roomห้อง,
120
336000
2000
และเขาก็เติมเต็มห้องนั้น
05:53
and we had an extraordinaryวิสามัญ conversationการสนทนา.
121
338000
3000
ส่วนพวกเราก็มีบทสนทนาที่น่าทึ่ง
05:56
He was supposedควร to be the toughestที่ยากที่สุด interviewสัมภาษณ์ that anybodyใคร ๆ would ever do
122
341000
3000
มันน่าจะเป็นบทสนทนาที่ยากที่สุดในบรรดาคนสัมภาษณ์ทั้งหมด
05:59
because he was famousมีชื่อเสียง for beingกำลัง silentเงียบ,
123
344000
4000
เพราะจอร์ชมีชื่มากเรื่องเป็นคนเงียบ
06:03
for never ever sayingคำพูด anything
124
348000
2000
หรือเรียกว่าไม่ค่อยพูดเลย
06:05
exceptยกเว้น maybe a wordคำ or two.
125
350000
2000
บางครั้งแค่ตอบคำ สองคำ
06:07
And, in factความจริง, he did windลม up openingการเปิด up --
126
352000
2000
ความจริงแล้วจอร์ชเป็นคนต้นเรื่อง
06:09
by the way, his energyพลังงาน is evidencedหลักฐาน in other waysวิธี.
127
354000
4000
ส่งพลังต่างๆนำเรื่องออกมา
06:13
He subsequentlyต่อมา got marriedแต่งงาน again at 102,
128
358000
3000
ในเวลาต่อมาจอร์ชได้แต่งงานอีกครั้งตอนอายุ102
06:16
so he, you know, he had a lot of the life forceบังคับ in him.
129
361000
4000
เขาก็เลยมีพลังมากล้น อย่างที่คุณเห็น
06:20
But after the interviewสัมภาษณ์, I got a call,
130
365000
2000
หลังการสัมภาษณ์ ผมได้รับโทรศัพท์
06:22
very gruffห้าว voiceเสียงพูด, from a womanหญิง.
131
367000
4000
จากผู้หญิงเสียงแหบแห้งคนนึง
06:26
I didn't know who she was,
132
371000
2000
ผมไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร
06:28
and she said, "Did you get Georgeจอร์จ Abbottแอ๊บบอต to talk?"
133
373000
4000
แล้วเธอก็พูดว่า "คุณทำให้จอร์ช แอบบ๊อท พูดหรอ"
06:32
And I said, "Yeah. Apparentlyเด่นชัด I did."
134
377000
3000
และผมตอบว่า "ใช่ ผมทำ"
06:35
And she said, "I'm his oldเก่า girlfriendแฟน, Maureenมอรีน Stapletonสเตเปิล,
135
380000
4000
เธอตอบกลับว่า "ฉันเป็นแฟนเก่าเขา มอร์รีน สเตเพวตัน
06:39
and I could never do it."
136
384000
2000
และฉันไม่เคยทำดได้เลย"
06:41
And then she madeทำ me go up with the tapeเทป of it
137
386000
3000
จากนั้นเธอก็พยายามให้ผมเปิดเทปสัมภาษณ์
06:44
and proveพิสูจน์ that Georgeจอร์จ Abbottแอ๊บบอต actuallyแท้จริง could talk.
138
389000
3000
เพื่อยืนยันว่าจอร์ช แอบบ๊อทให้สัมภาษณ์จริงๆ
06:47
So, you know, you want energyพลังงาน,
139
392000
2000
ดังนั้น รู้ไหม คุณต้องการพลัง
06:49
you want the life forceบังคับ,
140
394000
2000
คุณต้องการพลังชีวิต
06:51
but you really want them alsoด้วย to think
141
396000
4000
แต่คุณก็ต้องการให้พวกเขาคิดจริงๆ
06:55
that they have a storyเรื่องราว worthคุ้มค่า sharingใช้งานร่วมกัน.
142
400000
4000
ว่าพวกเขามีเรื่องที่ดีพอที่จะแบ่งปัน
06:59
The worstแย่ที่สุด interviewsการสัมภาษณ์ that you can ever have
143
404000
3000
การสัมภาษณ์ที่แย่ที่สุดที่คุณจะได้
07:02
are with people who are modestเจียมเนื้อเจียมตัว.
144
407000
3000
คือคนที่เงียบเอียงอาย
07:05
Never ever get up on a stageเวที with somebodyบางคน who'sใคร modestเจียมเนื้อเจียมตัว,
145
410000
3000
ผมไม่เคยขึ้นเวทีกับคนพวกนี้เลย
07:08
because all of these people have been assembledลอม
146
413000
3000
เพราะพวกเขาล้วนแล้วแต่รวมตัวกัน
07:11
to listen to them, and they sitนั่ง there and they say,
147
416000
2000
เพื่อฟังพวกเขา และพวกเขาก็นั่งแล้วพูดว่า
07:13
"AwAw, shucksแย่จัง, it was an accidentอุบัติเหตุ."
148
418000
2000
"โอ้ มันก็แค่อุบัติเหตุ"
07:15
There's nothing that ever happensที่เกิดขึ้น that justifiesjustifies
149
420000
4000
มันไม่มีอะไรเลยที่จะตัดสินว่า
07:19
people takingการ good hoursชั่วโมง of the day to be with them.
150
424000
4000
อยู่กับคนกลุ่มนี้แล้วจะมีความสุขทั้งวัน
07:23
The worstแย่ที่สุด interviewสัมภาษณ์ I ever did: Williamวิลเลียม L. ShirerShirer.
151
428000
3000
สัมภาษณ์ที่แย่ที่สุดที่ผมเคยทำ กับ วิลเลี่ยม เอลล์ เชอร์เรอร์
07:26
The journalistนักข่าว who did "The Riseลุกขึ้น and Fallตก of the Thirdที่สาม Reichรีค."
152
431000
5000
นักหนังสือพิมพ์ที่เขียน "เดอะ ไรส์ แอนด์ เฟอร์ ออฟ เดอะ เติร์ด ไรช์"
07:31
This guy had metพบ Hitlerฮิตเลอร์ and Gandhiคานธี withinภายใน sixหก monthsเดือน,
153
436000
4000
คนคนนี้เคยเจอฮิตเลอร์และคานกว่า6เดือน
07:35
and everyทุกๆ time I'd askถาม him about it, he'dเขาต้องการ say, "Oh, I just happenedที่เกิดขึ้น to be there.
154
440000
3000
และทุกครั้งที่ผมถามเขาเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ เขาพูดว่า "โอ้ มันก็แค่เรื่องที่เกิดขึ้น
07:38
Didn't matterเรื่อง." Whateverอะไรก็ตาม.
155
443000
3000
ไม่มีอะไรมากหรอก" เอาเหอะ
07:41
Awfulน่ากลัว.
156
446000
2000
น่าเบื่อจริงๆ
07:43
I never would ever agreeตกลง to interviewสัมภาษณ์ a modestเจียมเนื้อเจียมตัว personคน.
157
448000
3000
ผมไม่เคยตกลงที่จะสัมภาษณ์คนพวกนี้เลย
07:46
They have to think that they did something
158
451000
2000
พวกเขาคิดว่าพวกเขาทำสิ่งที่สำคัญบางอย่าง
07:48
and that they want to shareหุ้น it with you.
159
453000
2000
และอย่างเล่าแบ่งปันให้คุณฟัง
07:50
But it comesมา down, in the endปลาย,
160
455000
4000
แต่มันวกกลับมาที่ว่า
07:54
to how do you get throughตลอด all the barriersปัญหาและอุปสรรค we have.
161
459000
7000
จะทำยังไงให้เรื่องเหล่านี้ข้ามผ่านข้ออคติทั้งหลาย
08:01
All of us are publicสาธารณะ and privateเอกชน beingsสิ่งมีชีวิต,
162
466000
3000
ด้วยว่าเราทุกคนมีความรู้สึกนึกคิดส่วนตัว
08:04
and if all you're going to get from the intervieweeผีตายโหง is theirของพวกเขา publicสาธารณะ selfตนเอง,
163
469000
6000
และสิ่งที่เราทุกคนจะได้กลับไปจากผู้ถูกสัมภาษณ์น้นก็แตกต่างกันอีก
08:10
there's no pointจุด in it.
164
475000
2000
มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะทำ
08:12
It's pre-programmedก่อนโปรแกรม. It's infomercialแนะนํา,
165
477000
3000
นี่เป็นรายการอัดเทป รายการให้ข้อมูล
08:15
and we all have infomercialsinfomercials about our livesชีวิต.
166
480000
3000
และพวกเราต่างมีข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตของตัวเรา
08:18
We know the great linesเส้น, we know the great momentsช่วงเวลา,
167
483000
3000
พวกเรารู้เส้นทางที่ดี พวกเรารู้ว่าช่วงไหนเป็นช่วงเวลาที่ดี
08:21
we know what we're not going to shareหุ้น,
168
486000
2000
พวกเรารู้ว่าสิ่งไหนที่เราไม่ควรบอกคนอื่น
08:23
and the pointจุด of this was not to embarrassทำให้อึดอัดใจ anybodyใคร ๆ.
169
488000
3000
และการสัมภาษณ์นี้ไม่ได้มุ่งเน้นจะฉีกหน้าใคร
08:26
This wasn'tก็ไม่ได้ -- and some of you will rememberจำ
170
491000
2000
แต่การสัมภาษณ์นี้จะไม่เป็นแบบนั้น คุณบางคนคงจำ
08:28
Mikeไมค์ Wallace'sวอลเลซ oldเก่า interviewsการสัมภาษณ์ --
171
493000
2000
บทสัมภาษณ์ของไมค์ วอเลซกันได้
08:30
toughยาก, aggressiveก้าวร้าว and so forthออกมา. They have theirของพวกเขา placeสถานที่.
172
495000
3000
ดุดัน รุนแรง และมีพลัง พวกเขายึดฐานมั่น
08:33
I was tryingพยายาม to get them to say what they probablyอาจ wanted to say,
173
498000
4000
ผมพยายามดึงให้เขาพูดในสิ่งที่พวกเขาอาจจะอยากพูดถึง
08:37
to breakหยุด out of theirของพวกเขา ownด้วยตัวเอง cocoonรังไหมดิบ of the publicสาธารณะ selfตนเอง,
174
502000
7000
เพื่อให้พวกเขากล้าที่จะเผยสู่สาธารณะ
08:44
and the more publicสาธารณะ they had been,
175
509000
2000
และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมมากขึ้น
08:46
the more entrenchedที่ยึดที่มั่น that personคน, that outerด้านนอก personคน was.
176
511000
5000
ยิ่งเราเกาะติดบุคคลนึงมากเท่าไหร่ คนๆนั้นก็ยิ่งเปิดเผยมากขึ้น
08:51
And let me tell you at onceครั้งหนึ่ง the worseแย่ลง momentขณะ and the bestดีที่สุด momentขณะ
177
516000
3000
ผมขอเล่าถึงช่วงเวลาที่ยอดแย่และยอดเยี่ยม
08:54
that happenedที่เกิดขึ้น in this interviewสัมภาษณ์ seriesชุด.
178
519000
2000
ที่เกิดขึ้นระหว่างงานสัมภาษณ์ครั้งนี้หน่อยนะครับ
08:56
It all has to do with that shellเปลือก that mostมากที่สุด of us have,
179
521000
5000
ส่วนใหญ่แล้วมันเกี่ยวกับเกาะป้องกันที่เราต่างมีกัน
09:01
and particularlyโดยเฉพาะ certainบาง people.
180
526000
3000
และมันแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแต่ละคน
09:04
There's an extraordinaryวิสามัญ womanหญิง namedชื่อ Clareแคลร์ BootheBoothe LuceLuce.
181
529000
3000
มีผู้หญิงน่าอัศจรรย์คนหนึ่งชื่อว่า แคลร์ บู๊ท ลูซ
09:07
It'llมันจะ be your generationalgenerational determinantปัจจัย
182
532000
3000
ขึ้นอยู่กับว่าคนรุ่นหลังจะ
09:10
as to whetherว่า her nameชื่อ meansวิธี much to you.
183
535000
3000
เห็นว่าชื่อเธอนั้นมีความหมายมากน้อยแค่ไหน
09:13
She did so much. She was a playwrightนักเขียนบทละคร.
184
538000
5000
แคลร์ได้ทำหลายอย่างมาก เธอเป็นคนเขียนบทละคร
09:18
She did an extraordinaryวิสามัญ playเล่น calledเรียกว่า "The Womenผู้หญิง."
185
543000
3000
บทละครเยี่ยมๆที่เธอเขียนคือ "เดอะ วูแมน"
09:21
She was a congresswomanส.ส.
186
546000
2000
เธอเป็นรัฐสภาหญิง
09:23
when there weren'tเขาไม่ได้ very manyจำนวนมาก congresswomencongresswomen.
187
548000
3000
ในช่วงที่ยังไม่ค่อยมีผู้หญิงทำงานในตำแหน่งนี้เท่าไหร่
09:26
She was editorบรรณาธิการ of Vanityโต๊ะเครื่องแป้ง Fairธรรม,
188
551000
2000
เธอยังเป็นบรรณาธิการของ แวนนิตี แฟร์ด้วย
09:28
one of the great phenomenalมหัศจรรย์ womenผู้หญิง of her day.
189
553000
4000
ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในผู้หญิงอัศจรรย์ในยุคของเธอ
09:32
And, incidentallyโดยบังเอิญ, I call her
190
557000
3000
และผมเรียกเธอโดยบังเอิญว่า
09:35
the Eleanorอีลีเนอร์ Rooseveltโรสเวลต์ of the Right.
191
560000
3000
อิลินอร์ รูเซอร์เวลส์ฝ่ายขวา
09:38
She was sortประเภท of adoredเธซเน on the Right
192
563000
2000
เธอชื่นชมเหล่าฝ่ายขวา
09:40
the way Eleanorอีลีเนอร์ Rooseveltโรสเวลต์ was on the Left.
193
565000
3000
แต่อิลิเนอร์ รูเซอร์เวลส์เขาเป็นฝ่ายซ้าย
09:43
And, in factความจริง, when we did the interviewสัมภาษณ์ --
194
568000
3000
และที่จริงแล้ว เมื่อตอนที่พวกเรานั่งสัมภาษณ์
09:46
I did the livingการดำรงชีวิต self-portraitภาพเหมือน with her --
195
571000
2000
ทำรายการภาพบุคคลจริงกับเธอนั้น
09:48
there were threeสาม formerอดีต directorsกรรมการ of the CIAซีไอเอ
196
573000
2000
มีอดีตหัวหน้าCIA
09:50
basicallyเป็นพื้น sittingนั่ง at her feetฟุต,
197
575000
2000
นั่งอยู่ใกล้ๆเธอ
09:52
just enjoyingเพลิดเพลินกับ her presenceการมี.
198
577000
3000
นั่งฟังอย่างชื่นชม
09:55
And I thought, this is going to be a pieceชิ้น of cakeเค้ก,
199
580000
2000
และตอนนั้นผมก็คิดว่า เรื่องง่ายๆ
09:57
because I always have preliminaryเบื้องต้น talksการเจรจา with these people
200
582000
4000
เพราะผมจะพูดเกริ่นๆให้คนพวกนี้ทราบก่อนเสมอ
10:01
for just maybe 10 or 15 minutesนาที.
201
586000
3000
ประมาณสัก 10-15 นาที
10:04
We never talk before that because if you talk before,
202
589000
3000
พวกเราไม่ได้คุยกันมาก่อนเพราะถ้าคุณเคยคุยกัน
10:07
you don't get it on the stageเวที.
203
592000
2000
คุณก็ไม่รู้จะพูดไรตอนอยู่บนเวที
10:09
So she and I had a delightfulน่ารื่นรมย์ conversationการสนทนา.
204
594000
4000
แล้วเธอกับผมก็ได้พูดคุยกันสนุกสนาน
10:13
We were on the stageเวที and then --
205
598000
3000
พวกเราอยู่บนเวทีและก็
10:16
by the way, spectacularน่าตื่นเต้น.
206
601000
2000
อย่างไรก็ตาม มันเยี่ยมไปเลย
10:18
It was all partส่วนหนึ่ง of Clareแคลร์ BootheBoothe Luce'sLuce ของ look.
207
603000
3000
ต้องยกความดีให้กับความสง่าของแคร์ บู๊ท
10:21
She was in a great eveningตอนเย็น gownเสื้อคลุมยาว.
208
606000
3000
เธอมาในชุดราตรีแสนสวย
10:24
She was 80, almostเกือบจะ that day of the interviewสัมภาษณ์,
209
609000
3000
เธออายุ80 เกือบจะในวันที่มีการสัมภาษณ์
10:27
and there she was and there I was,
210
612000
2000
เธอนั่งอยู่ที่นั่น
10:29
and I just proceededดำเนินการต่อ into the questionsคำถาม.
211
614000
2000
และตอบคถถามต่างๆ
10:31
And she stonewalledstonewalled me. It was unbelievableเหลือเชื่อ.
212
616000
5000
เธอสกัดกั้นผม เหลือเชื่อมากครับ
10:36
Anything that I would askถาม, she would turnกลับ around, dismissยกเลิก,
213
621000
5000
สิ่งที่ผมควรจะถาม เธอเปลี่ยนมัน เลี่ยงมัน
10:41
and I was basicallyเป็นพื้น up there -- any of you
214
626000
2000
และผมก็อยู่บนเวทีนั่น และพวกคุณใครที่
10:43
in the moderate-to-fullปานกลางถึงเต็มรูปแบบ entertainmentการบันเทิง worldโลก
215
628000
2000
รู้จักในวงการบันเทิงเป็นอย่างดีคงรู้ว่า
10:45
know what it is to dieตาย onstageบนเวที.
216
630000
3000
การตายบนเวทีมันเป็นยังไง
10:48
And I was dyingเฮือกสุดท้าย. She was absolutelyอย่างแน่นอน not givingให้ me a thing.
217
633000
5000
ผมจะเป็นบ้า เธอไม่ให้อะไรผมเลยตอนสัมภาษณ์
10:53
And I beganเริ่ม to wonderน่าแปลกใจ what was going on,
218
638000
2000
ผมก็เริ่มสงสัยว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
10:55
and you think while you talk,
219
640000
2000
แล้วคุณก็คิดระหว่างที่คุณพูด
10:57
and basicallyเป็นพื้น, I thought, I got it.
220
642000
3000
และที่จริงผมคิดว่าผมทำได้
11:00
When we were aloneคนเดียว, I was her audienceผู้ชม.
221
645000
4000
ตอนที่ผมกับเธออยู่ตามลำพัง ผมเป็นผู้ชมของเธอ
11:04
Now I'm her competitorคู่แข่ง for the audienceผู้ชม.
222
649000
2000
และในตอนนี้ผมกลายเป็นคู่แข่งสำหรับผู้ชมเสียแล้ว
11:06
That's the problemปัญหา here, and she's fightingศึก me for that,
223
651000
4000
นี่เป็นปัญหา และเธอสู้กับผมในเรื่องนี้
11:10
and so then I askedถาม her a questionคำถาม --
224
655000
2000
แล้วผมก็ถามคำถามนึงกับเธอ
11:12
I didn't know how I was going to get out of it --
225
657000
2000
ผมคิดไม่ออกจริงๆว่าผมจะออกจากสถานการณ์นั้นได้ยังไง
11:14
I askedถาม her a questionคำถาม about her daysวัน as a playwrightนักเขียนบทละคร,
226
659000
6000
ผมถามเธอเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เธอเป็นนักเขียนบทละคร
11:20
and again, characteristicallyโดยมีลักษณะเฉพาะ,
227
665000
2000
แลอีกครั้ง ด้วยบุคลิกของเธอ
11:22
insteadแทน of sayingคำพูด, "Oh yes, I was a playwrightนักเขียนบทละคร, and this is what blahblah blahblah blahblah,"
228
667000
3000
แทนที่จะพุดว่า "โอ้ ใช่ ฉันเป็นคนเขียนบทละคร แล้วก็ บลา บลา บลา"
11:25
she said, "Oh, playwrightนักเขียนบทละคร. Everybodyทุกคน knowsรู้ I was a playwrightนักเขียนบทละคร.
229
670000
3000
เธอพูดว่า "อ้อ คนเขียนบทละครนะหรอ ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าฉันเป็นนักเขียนบทละคร
11:28
Mostมากที่สุด people think that I was an actressนักแสดงหญิง. I was never an actressนักแสดงหญิง."
230
673000
4000
คนส่วนมากคิดว่าฉันเป็นนักแสดง ฉันไม่เคยเป็นนักแสดงเลย"
11:32
But I hadn'tไม่ได้ askedถาม that, and then she wentไป off on a tearฉีก,
231
677000
4000
แต่ผมไม่ได้ถามสิ่งนั้น แล้วเธออยู่ดีๆก้ร้องไห้
11:36
and she said, "Oh, well, there was that one time that I was an actressนักแสดงหญิง.
232
681000
3000
เธอพุดว่า "โอ้ คือ มันมีครั้งนึงที่ฉันเป็นนักแสดง
11:39
It was for a charityการกุศล in Connecticutคอนเนตทิคั when I was a congresswomanส.ส.,
233
684000
3000
เป็นงานการกุศล ในคอนเน็กติกัท ช่วงที่ฉันเป็นวุฒิสภาหญิง
11:42
and I got up there," and she wentไป on and on, "And then I got on the stageเวที."
234
687000
3000
ฉันได้ไปที่นั่น" เธอเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ "และฉันก็ได้ขึ้นเวที"
11:45
And then she turnedหัน to me and said,
235
690000
2000
หลังจากนั้นเธอหันหน้ามาหาผมแล้วพูดว่า
11:47
"And you know what those youngหนุ่มสาว actorsนักแสดง did?
236
692000
3000
"และคุณรู้ไหมว่าพวกดาราหนุ่มสาวเหล่านั้นทำอะไร
11:50
They upstagedupstaged me." And she said, "Do you know what that is?"
237
695000
2000
พวกนั้นวางบ่นเด่นให้ฉํน" เธอพูดต่อว่า "คุณรู้ไหมว่ามันคืออะไร"
11:52
Just witheringกวาดเรียบ in her contemptดูถูก.
238
697000
2000
ผมก็ค่อนแคะเธอเล็กๆ
11:54
And I said, "I'm learningการเรียนรู้."
239
699000
2000
แล้วพูดว่า "ผมทำความเข้าใจอยู่ครับ"
11:56
(Laughterเสียงหัวเราะ)
240
701000
2000
(เสียงหัวเราะ)
11:58
And she lookedมอง at me, and it was like the successfulที่ประสบความสำเร็จ arm-wrestleงัดข้อ,
241
703000
5000
เธอจ้องหน้าผม มันเหมือนกับการชนะมวยงัดข้อมือเลยครับ
12:03
and then, after that, she deliveredส่ง an extraordinaryวิสามัญ accountบัญชี
242
708000
4000
แล้วจากนั้น เธอก็เล่าเรื่องน่าอัศจรรย์ต่างๆ
12:07
of what her life really was like.
243
712000
2000
เกี่ยวกับชีวิตเธอให้ฟัง
12:09
I have to endปลาย that one. This is my tributeส่วย to Clareแคลร์ BootheBoothe LuceLuce.
244
714000
3000
ผมต้องขอพักเรื่องนี้ไว้แค่นี้ ส่วนนี้เป็นเรื่องของแคลร์ บู๊ท ลูซ
12:12
Again, a remarkableโดดเด่น personคน.
245
717000
2000
อีกครั้งกับบุคคลที่น่าทึ่ง
12:14
I'm not politicallyในทางการเมือง attractedดึงดูด to her, but throughตลอด her life forceบังคับ,
246
719000
3000
ผมไม่ได้ชอบเธอด้วยเรื่องการเมือง แต่ผมชอบที่พลังขับเคลื่อนในชีวิตของเธอ
12:17
I'm attractedดึงดูด to her.
247
722000
3000
เธอน่าดึงดูดมากครับ
12:20
And the way she diedเสียชีวิต -- she had, towardไปทาง the endปลาย, a brainสมอง tumorเนื้องอก.
248
725000
5000
และเธอตายด้วยโรคเนื้องอกในสมอง
12:25
That's probablyอาจ as terribleน่ากลัว a way to dieตาย as you can imagineจินตนาการ,
249
730000
3000
นั่นเป็นสาเหตุการตายที่แย่มากเท่าที่คุณจะนึกได้
12:28
and very fewน้อย of us were invitedได้รับเชิญ to a dinnerอาหารเย็น partyพรรค.
250
733000
6000
และมีไม่กี่คนที่ถูกเชิญไปร่วมงานปาร์ตี้
12:34
And she was in horribleน่ากลัว painความเจ็บปวด.
251
739000
2000
ในช่วงเวลาที่เธอเจ็บป่วยหนัก
12:36
We all knewรู้ว่า that.
252
741000
2000
ซึ่งพวกเรารู้ดี
12:38
She stayedอยู่ in her roomห้อง.
253
743000
3000
เธออยุ่ในห้อง
12:41
Everybodyทุกคน cameมา. The butlerบัตเลอร์ passedผ่าน around canapesคานาเป้.
254
746000
2000
ทุกๆคนเข้าไปหา คนรับใช้เดินแจกคานาเป้
12:43
The usualตามปกติ sortประเภท of thing.
255
748000
3000
ของธรรมดาๆ
12:46
Then at a certainบาง momentขณะ, the doorประตู openedเปิด
256
751000
3000
ขณะนั้นเอง ประตูก็เปิดออก
12:49
and she walkedเดิน out perfectlyอย่างสมบูรณ์ dressedแต่งตัว, completelyอย่างสมบูรณ์ composedใจเย็น.
257
754000
4000
เธอเดินเข้ามาในชุดสวย
12:53
The publicสาธารณะ selfตนเอง, the beautyความงาม, the intellectสติปัญญา,
258
758000
4000
คนของสาธารณะ ทั้งสวย แล้วก็ดูฉลาดหลักแหลม
12:57
and she walkedเดิน around and talkedพูดคุย to everyทุกๆ personคน there
259
762000
4000
เธอเดินไปรอบๆและคุยกับทุกๆคนในที่นั่น
13:01
and then wentไป back into the roomห้อง and was never seenเห็น again.
260
766000
3000
แล้วก็กลับเข้าไปในห้องของเธอ และเราก็ไม่ได้เห็นเธออีก
13:04
She wanted the controlควบคุม of her finalสุดท้าย momentขณะ, and she did it amazinglyที่น่าอัศจรรย์ใจ.
261
769000
6000
เธออยากมีช่วงเวลาที่เป็นของเธอเอง และเธอก็ทำได้ดีเสียด้วย
13:10
Now, there are other waysวิธี that you get somebodyบางคน to openเปิด up,
262
775000
4000
เอาละครับ ทีนี้มันมีอีกวิธีที่คุณจะทำให้คนอื่นเขาพูดเปิดอก
13:14
and this is just a briefสั้น referenceการอ้างอิง.
263
779000
4000
และนี่เป็นแค่การอ้างอิงสั้นๆ
13:18
It wasn'tก็ไม่ได้ this arm-wrestleงัดข้อ,
264
783000
2000
ไม่ใช่วิธีการสู้รบปรบมืออะไร
13:20
but it was a little surprisingน่าแปลกใจ for the personคน involvedที่เกี่ยวข้อง.
265
785000
2000
แต่แค่เซอร์ไพรส์เล็กๆจากคนที่เกี่ยวข้อง
13:22
I interviewedสัมภาษณ์ Steveสตีฟ Martinนกนางแอ่น. It wasn'tก็ไม่ได้ all that long agoมาแล้ว.
266
787000
4000
ผมสัมภาษณ์สตีฟ มาติน เมื่อไม่นานมานี้เอง
13:26
And we were sittingนั่ง there,
267
791000
2000
พวกเรานั่งลง
13:28
and almostเกือบจะ towardไปทาง the beginningการเริ่มต้น of the interviewสัมภาษณ์,
268
793000
3000
เกือบจะตั้งแต่ต้นของการสัมภาษณ์นั้นเลยที่ผม
13:31
I turnedหัน to him and I said, "Steveสตีฟ," or "Mrนาย. Martinนกนางแอ่น,
269
796000
5000
หันไปหาเขาแล้วพูดว่า "สตีฟ" หรือ "คุณมาติน
13:36
it is said that all comediansนักแสดงตลก have unhappyไม่มีความสุข childhoodsวัยเด็ก.
270
801000
6000
มีคนว่ากันว่าดาราตลกหลายๆคนมีชีวิตวัยเด็กที่ไม่มีความสุข
13:42
Was yoursของคุณ unhappyไม่มีความสุข?"
271
807000
2000
รวมถึงคุณด้วยหรือเปล่า"
13:44
And he lookedมอง at me, you know, as if to say,
272
809000
3000
แล้วสตีฟก็จ้องผม เหมือนกำลังจะพุดว่า
13:47
"This is how you're going to startเริ่มต้น this thing, right off?"
273
812000
3000
"นี่คุณต้องการเริ่มแบบนี้เลยใช่ไหม"
13:50
And then he turnedหัน to me, not stupidlyอย่างโง่เขลา,
274
815000
2000
เขาก็จ้องผมกลับ
13:52
and he said, "What was your childhoodวัยเด็ก like?"
275
817000
4000
และพูดว่า "แล้วชีวิตวัยเด็กคุณละเป็นไง"
13:56
And I said -- these are all armแขน wrestlesแมทีเรีย, but they're affectionateที่รักใคร่ --
276
821000
3000
ความจริงแล้วนี่ดูเหมือนเป็นการงัดข้อเลยครับแต่ดูน่าสนใจกว่า
13:59
and I said, "My fatherพ่อ was lovingด้วยความรัก and supportiveอุปถัมภ์,
277
824000
3000
และผมก็ตอบว่า"พ่อของผมเลี้ยงมาด้วยความรัก
14:02
whichที่ is why I'm not funnyตลก."
278
827000
2000
ความเข้าใจ เลยทำให้ผมไม่ตลกครับ"
14:04
(Laughterเสียงหัวเราะ)
279
829000
2000
(เสียงหัวเราะ)
14:06
And he lookedมอง at me, and then we heardได้ยิน the bigใหญ่ sadเสียใจ storyเรื่องราว.
280
831000
4000
สตีฟจ้องผม และหลังจากนั้นพวกเราก้ได้ฟังเรื่องเศร้าครั้งใหญ่
14:10
His fatherพ่อ was an SOBร้องไห้,
281
835000
2000
คุณพ่อเขาเป็นโรค SOB
14:12
and, in factความจริง, he was anotherอื่น comedianตัวตลก with an unhappyไม่มีความสุข childhoodวัยเด็ก,
282
837000
4000
พูดง่ายๆว่าเขาเป็นตลกอีกคนหนึ่งที่มีชีวิตวัยเด็กที่ไม่ค่อยสุขเท่าไหร่นัก
14:16
but then we were off and runningวิ่ง.
283
841000
3000
แต่พวกเราก็ออกนอกเรื่อง และก็จากไป
14:19
So the questionคำถาม is:
284
844000
1000
ดังนั้นคำถามคือ
14:20
What is the keyสำคัญ that's going to allowอนุญาต this to proceedดำเนิน?
285
845000
3000
อะไรกันที่เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เรื่องเหล่านี้ดำเนินไป
14:23
Now, these are armแขน wrestleต่อสู้ questionsคำถาม,
286
848000
2000
เอาละครับ นี่เป็นคำถามจริงจังดุดัน
14:25
but I want to tell you about questionsคำถาม
287
850000
3000
แต่ผมอยากบอกคุณเกี่ยวกับคำถาม
14:28
that are more relatedที่เกี่ยวข้อง to empathyการเอาใจใส่
288
853000
3000
ซึ่งขึ้นอยู่กับความเอาใจใส่
14:31
and that really, very oftenบ่อยครั้ง, are the questionsคำถาม
289
856000
3000
และบ่อยครั้งที่คำถามหลายๆคำถาม
14:34
that people have been waitingที่รอ theirของพวกเขา wholeทั้งหมด livesชีวิต to be askedถาม.
290
859000
3000
คนเหล่านี้รอที่จะให้คนถามคำถามนั้นกับเขา
14:37
And I'll just give you two examplesตัวอย่าง of this because of the time constraintsข้อ จำกัด.
291
862000
4000
ผมขอยกตัวอย่างแค่2ตัวอย่าง เนื่องด้วยเวลาเรามีจำกัดนะครับ
14:41
One was an interviewสัมภาษณ์ I did with one of the great Americanอเมริกัน biographersชีวประวัติ.
292
866000
6000
ตัวอย่างแรกเป็นการสัมภาษณ์หนึ่งในคนเขียนชีวประวัติอเมริกันคนหนึ่ง
14:47
Again, some of you will know him, mostมากที่สุด of you won'tเคยชิน, Dumasมัส Maloneมาโลน.
293
872000
2000
อีกครั้ง คุณบางคนอาจจะรู้จักเขา แต่คุณส่วนใหญ่ไม่รู้จัก ดูมาส์ มาโลน
14:49
He did a five-volumeห้าปริมาณ biographyชีวประวัติ of Thomasโทมัส Jeffersonเจฟเฟอร์สัน,
294
874000
4000
เขาเป็นคนเขียนชีวประวัติ5เล่มของโทมัส เจฟเฟอร์สัน
14:53
spentการใช้จ่าย virtuallyจวน his wholeทั้งหมด life with Thomasโทมัส Jeffersonเจฟเฟอร์สัน,
295
878000
5000
เขาใช้ชีวิตเกือบทั้งชีวิตกับโทมัส เจฟเฟอร์สัน
14:58
and by the way, at one pointจุด I askedถาม him,
296
883000
2000
และยังไงไม่รู้ ผมก็ถามเขาว่า
15:00
"Would you like to have metพบ him?"
297
885000
2000
"คุณเคยอยากพบโทมัส เจฟเฟอร์สันไหม"
15:02
And he said, "Well, of courseหลักสูตร,
298
887000
2000
เขาตอบผมว่า "แน่นอนครับ
15:04
but actuallyแท้จริง, I know him better than anyoneใคร ๆ who ever metพบ him,
299
889000
3000
แต่จริงๆแล้ว ผมรู้จักเขาดีกว่าคนอื่นที่เคยพบเขาเสียอีก
15:07
because I got to readอ่าน all of his lettersตัวอักษร."
300
892000
2000
เพราะผมต้องอ่านจดหมายเขาทุกฉบับ"
15:09
So, he was very satisfiedความพึงพอใจ with the kindชนิด of relationshipความสัมพันธ์ they had over 50 yearsปี.
301
894000
6000
ดังนันเขาค่อนข้างพอใจกับความสัมพันธ์ของพวกเขากว่า50ปีนี่
15:15
And I askedถาม him one questionคำถาม.
302
900000
3000
และผมก็ได้ถามอีกคำถามนึง
15:18
I said, "Did Jeffersonเจฟเฟอร์สัน ever disappointทำให้ผิดหวัง you?"
303
903000
4000
ว่า "คุณเจฟเฟอร์สันเคยทำให้คุณผิดหวังบ้างไหม"
15:22
And here is this man who had givenรับ his wholeทั้งหมด life to uncoveringการเปิดโปง Jeffersonเจฟเฟอร์สัน
304
907000
5000
และนี่คือบุคคลที่ใช้ทั้งชีวิตเขาเปิดเผยความเป็นเจฟเฟอร์สัน
15:27
and connectingการเชื่อมต่อ with him,
305
912000
2000
และเชื่อมโยงกับเขา
15:29
and he said, "Well ..." -- I'm going to do a badไม่ดี southernทางใต้ accentสำเนียง.
306
914000
5000
เขาพุดว่า "คิอ..." --ผมจะทำสำเนียงใต้ทองแดงๆ
15:34
Dumasมัส Maloneมาโลน was from Mississippiแม่น้ำมิสซิสซิปปี originallyแต่เดิม.
307
919000
3000
ดูมาส์ มาโลนมาจากมิสซิซิปปี
15:37
But he said, "Well," he said, "I'm afraidเกรงกลัว so."
308
922000
4000
แต่เขาพูด "เออ" แล้วก็ "คงจะเป็นอย่างนั้น"
15:41
He said, "You know, I've readอ่าน everything,
309
926000
3000
แล้วก็พูดว่า "คุณรู้ว่าผมอ่านทุกอย่าง
15:44
and sometimesบางครั้ง Mrนาย. Jeffersonเจฟเฟอร์สัน would smoothเรียบ the truthความจริง a bitบิต."
310
929000
8000
และบางอย่างเกียวกับคุณเจฟเฟอร์สันที่ทำให้ออกมาดูดี"
15:52
And he basicallyเป็นพื้น was sayingคำพูด that this was a man
311
937000
3000
และเขาก็บอกผมว่าคนๆนี้แหละที่เป็นคนที่
15:55
who liedโกหก more than he wishedอยาก he had,
312
940000
3000
โกหกมากกว่าคำขอที่เขาถูกขอมา
15:58
because he saw the lettersตัวอักษร.
313
943000
2000
เพราะเขาได้เห็นทุกตัวอักษร
16:00
He said, "But I understandเข้าใจ that." He said, "I understandเข้าใจ that."
314
945000
4000
เขาพูดว่า "แต่ผมเข้าใจว่า" เขาพูด"ผมเข้าใจว่า"
16:04
He said, "We southernersภาคใต้ do like a smoothเรียบ surfaceพื้นผิว,
315
949000
5000
เขาพูด "พวกเราคนใต้เหมือนกับพื้นผิวเรียบ
16:09
so that there were timesครั้ง when he just didn't want the confrontationการเผชิญหน้า."
316
954000
4000
ดังนั้นมันมีช่วงเวลาที่เขาไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้า"
16:13
And he said, "Now, Johnจอห์น Adamsอดัมส์ was too honestซื่อสัตย์."
317
958000
4000
และเขาก็พูดต่อ "ตอนนี้ จอห์น อดัมส์ เป็นคนที่ซื้อสัตย์เกินไป"
16:17
And he startedเริ่มต้น to talk about that, and laterต่อมา on he invitedได้รับเชิญ me to his houseบ้าน,
318
962000
3000
แล้วเขาก็เริ่มเล่าเรื่องนั้น หลังจากนั้นเขาก็เชิญผมไปที่บ้านเขา
16:20
and I metพบ his wifeภรรยา who was from Massachusettsแมสซาชูเซต,
319
965000
2000
และผมได้พบภรรยาเขาที่มาจากแมสซาชูเสช
16:22
and he and she had exactlyอย่างแน่นอน the relationshipความสัมพันธ์
320
967000
3000
และพวกเขาสามีภรรยารู้จักสัมพันธ์กับ
16:25
of Thomasโทมัส Jeffersonเจฟเฟอร์สัน and Johnจอห์น Adamsอดัมส์.
321
970000
3000
โทมัส เจฟเฟอร์สัน และ จอห์น อดัมส์
16:28
She was the Newใหม่ Englanderอิงแลนด์ and abrasiveคม,
322
973000
2000
เธอเป็นคน นิว อิงแลนด์ และฉลาดหลักแหลม
16:30
and he was this courtlyช่างเอาใจ fellowมนุษย์.
323
975000
3000
ส่วนเขาเป็นพวกคนขี้เอาใจ
16:33
But really the mostมากที่สุด importantสำคัญ questionคำถาม I ever askedถาม,
324
978000
3000
แต่จริงๆแล้วคำถามที่สำคัญที่สุดที่ผมถาม
16:36
and mostมากที่สุด of the timesครั้ง when I talk about it,
325
981000
3000
และถามตลอดการสนทนานี้
16:39
people kindชนิด of suckดูด in theirของพวกเขา breathลมหายใจ at my audacityความกล้า, or crueltyความโหดร้าย,
326
984000
5000
ผู้คนต่างสูดลมหายใจเอาความรู้สึกมุทะลุ หรือดุร้ายของผม
16:44
but I promiseคำมั่นสัญญา you it was the right questionคำถาม.
327
989000
4000
แต่ผมสัญญากับคุณว่ามันเป็นคำถามที่ใช่
16:48
This was to Agnesแอกเนส deเดอ MilleMille.
328
993000
3000
และนี่สำหรับ แองเนส เดอร์ มิลล์
16:51
Agnesแอกเนส deเดอ MilleMille is one of the great choreographersนักออกแบบท่าเต้น in our historyประวัติศาสตร์.
329
996000
4000
แองเนส เดอร์ มิลล์ คือคนหนึ่งในนักออกแบบท่าเต้นแห่งยุค
16:55
She basicallyเป็นพื้น createdสร้าง the dancesเต้นรำ in "Oklahomaโอกลาโฮมา,"
330
1000000
4000
เธอเป็นคนออกแบบท่าในละคร "อกลาโฮมา"
16:59
transformingการเปลี่ยนแปลง the Americanอเมริกัน theaterโรงละคร.
331
1004000
2000
ที่เปลี่ยนแปลงวงการละครเวทีอเมริกา
17:01
An amazingน่าอัศจรรย์ womanหญิง.
332
1006000
2000
เป็นผู้หญิงที่สุดยอด
17:03
At the time that I proposedเสนอ to her that --
333
1008000
5000
ในเวลาที่ผมสารภาพกับเธอว่า--
17:08
by the way, I would have proposedเสนอ to her; she was extraordinaryวิสามัญ --
334
1013000
2000
ความจริง ผมควรสารภาพกับเธอ เธอเป็นคนที่เยี่ยมมาก
17:10
but proposedเสนอ to her that she come on.
335
1015000
2000
แต่เชิญเธอมา
17:12
She said, "Come to my apartmentอพาร์ทเม้น."
336
1017000
2000
เธอพูดว่า "มาที่อพาทเม้นต์ฉันซิ"
17:14
She livedอาศัยอยู่ in Newใหม่ Yorkนิวยอร์ก.
337
1019000
2000
เธออยู่ที่นิวยอร์ก
17:16
"Come to my apartmentอพาร์ทเม้น and we'llดี talk for those 15 minutesนาที,
338
1021000
4000
"มาที่อพาทเม้นท์และเราจะได้คุยกันสะดวกกับ15นาทีนั่น
17:20
and then we'llดี decideตัดสิน whetherว่า we proceedดำเนิน."
339
1025000
2000
แล้วเราค่อยคิดอีกทีว่าเราจะคุยกันยังไง"
17:22
And so I showedแสดงให้เห็นว่า up in this darkมืด, ramblingท่องเที่ยว Newใหม่ Yorkนิวยอร์ก apartmentอพาร์ทเม้น,
340
1027000
5000
และผมก็ไปที่อพาทเม้นต์มืดๆ รกๆที่นิวยอร์กนั่น
17:27
and she calledเรียกว่า out to me, and she was in bedเตียง.
341
1032000
3000
และเธอโทรยกเลิกกับผม เพราะเธอไม่ค่อยสบาย
17:30
I had knownที่รู้จักกัน that she had had a strokeลากเส้น,
342
1035000
2000
ผมรู้ว่าเธอเป็นโรคหลอดเลือกสมองตีบ
17:32
and that was some 10 yearsปี before.
343
1037000
2000
และนั่นก็ประมาณ10ปีก่อนหน้านี้
17:34
And so she spentการใช้จ่าย almostเกือบจะ all of her life in bedเตียง,
344
1039000
5000
และเธอก็ใช้ชีวิตหลังจากนั้นส่วนใหญ่บนเตียง
17:39
but -- I speakพูด of the life forceบังคับ --
345
1044000
2000
แต่-- ผมพูดถึงเรื่องกำลังชีวิต
17:41
her hairผม was askewด้วยความสงสัย.
346
1046000
2000
เธอหัวหูยุ่งไปหมด
17:43
She wasn'tก็ไม่ได้ about to make up for this occasionโอกาส.
347
1048000
3000
เธอพยายามจะชดเชยเวลาที่เสียไป
17:46
And she was sittingนั่ง there surroundedล้อมรอบ by booksหนังสือ,
348
1051000
3000
เธอนั่งโดยรายล้อมไปด้วยหนังสือมากมาย
17:49
and her mostมากที่สุด interestingน่าสนใจ possessionสมบัติ she feltรู้สึกว่า at that momentขณะ
349
1054000
4000
และสมบัติที่น่าสนใจที่สุดสำหรับเธอในขณะนั้น
17:53
was her will, whichที่ she had by her sideด้าน.
350
1058000
6000
คือพินัยกรรม ที่เธอวางไว้ข้างตัว
17:59
She wasn'tก็ไม่ได้ unhappyไม่มีความสุข about this. She was resignedลาออก.
351
1064000
4000
เธอไม่ค่อยสุขนักกับเรื่องนี้ เธอทิ้งมันไป
18:03
She said, "I keep this will by my bedเตียง, mementoของที่ระลึก moriMori,
352
1068000
6000
เธอบอกว่า "ฉันเก็บพินัยกรรมไว้ข้างเตียง เป็นเหมือนของที่ระลึก
18:09
and I changeเปลี่ยนแปลง it all the time
353
1074000
3000
และฉันก็เปลี่ยนมันไปมาตลอดเวลา
18:12
just because I want to."
354
1077000
2000
ก็แค่เพราะฉันอยากเปลี่ยน"
18:14
And she was lovingด้วยความรัก the prospectโอกาส of deathความตาย as much as she had lovedรัก life.
355
1079000
5000
และเธอเองก็รักโอกาสของความตายมากเท่าๆกับที่เธอรักชีวิต
18:19
I thought, this is somebodyบางคน I've got to get in this seriesชุด.
356
1084000
3000
ผมคิดว่า นี่แหละคือคนที่ผมอยากสัมภาษณ์เก็บไว้ในซีรีย์
18:22
She agreedตกลง.
357
1087000
2000
เธอตกลงครับ
18:24
She cameมา on. Of courseหลักสูตร she was wheelchairedwheelchaired on.
358
1089000
3000
เธอมาหาผม แน่นอนว่าในวีลแชร์
18:27
Halfครึ่ง of her bodyร่างกาย was strickenเสียใจ, the other halfครึ่ง not.
359
1092000
3000
ร่างกายครึ่งนึงของเธอไม่เคลื่อนไหว แต่อีกครึ่งยังขยับได้
18:30
She was, of courseหลักสูตร, doneเสร็จแล้ว up for the occasionโอกาส,
360
1095000
3000
แน่นอนว่าเธอทำสิ่งนี้แค่ครั้งคราวเท่านั้น
18:33
but this was a womanหญิง in great physicalกายภาพ distressความทุกข์.
361
1098000
4000
แต่นี่เป็นผู้หญิงที่มีความทุกข์ทางกายอย่างมาก
18:37
And we had a conversationการสนทนา,
362
1102000
3000
แล้วพวกเราก็พูดคุยกัน
18:40
and then I askedถาม her this unthinkableคิดไม่ถึง questionคำถาม.
363
1105000
3000
แล้วผมก็ถามคำถามนึงขึ้นโดยไม่ทันยั้งคิด
18:43
I said, "Was it a problemปัญหา for you in your life that you were not beautifulสวย?"
364
1108000
9000
ว่า "มันเป็นปัญหากับชีวิตคุณไหมที่คุณเป็นคนไม่สวย"
18:52
And the audienceผู้ชม just -- you know,
365
1117000
3000
แล้วเหล่าคนดูก็ คุณคงพอนึกออก
18:55
they're always on the sideด้าน of the intervieweeผีตายโหง,
366
1120000
3000
พวกเขามักอยู่ฝ่ายเดียวกับผู้ถูกสัมภาษณ์เสมอ
18:58
and they feltรู้สึกว่า that this was a kindชนิด of assaultโจมตี,
367
1123000
3000
และพวกเขาก็คิดว่านี้เป็นคำถามที่ดูถูกมากๆ
19:01
but this was the questionคำถาม she had
368
1126000
2000
แต่นี่เป็นคำถามที่เธอต้องการ
19:03
wanted somebodyบางคน to askถาม her wholeทั้งหมด life.
369
1128000
3000
ให้ใครสักคนถามเธอมาทั้งชีวิต
19:06
And she beganเริ่ม to talk about her childhoodวัยเด็ก, when she was beautifulสวย,
370
1131000
5000
และเธอก็เริ่มพูดเกี่ยวกับชีวิตวัยเด็ก ตอนที่เธอยังสวย
19:11
and she literallyอย่างแท้จริง turnedหัน -- here she was, in this brokenแตก bodyร่างกาย --
371
1136000
3000
และเธอก็หัน ด้วยร่างกายที่ทรุดโทรมเต็มทน
19:14
and she turnedหัน to the audienceผู้ชม and
372
1139000
3000
เธอหันไปทางผู้ชมและ
19:17
describedอธิบาย herselfตัวเธอเอง as the fairธรรม demoiselleDemoiselle
373
1142000
2000
อธิบายว่าเธอเป็นหญิงสาวที่หน้าตาโอเค
19:19
with her redสีแดง hairผม and her lightเบา stepsขั้นตอน and so forthออกมา,
374
1144000
6000
กับผมแดง ปากบาง และอื่นๆ
19:25
and then she said, "And then pubertyวัยแรกรุ่น hitตี."
375
1150000
3000
จากนั้นเธอพูดว่า "พอเมื่อเข้าวัยสาวสะพรั่ง"
19:28
And she beganเริ่ม to talk about things that had happenedที่เกิดขึ้น
376
1153000
2000
และเธอก็เริ่มพูดเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
19:30
to her bodyร่างกาย and her faceใบหน้า,
377
1155000
2000
กับร่างกายและหน้าของเธอ
19:32
and how she could no longerอีกต่อไป countนับ on her beautyความงาม,
378
1157000
4000
และเธอก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าตัวเองสวย
19:36
and her familyครอบครัว then treatedได้รับการรักษา her like the uglyน่าเกลียด sisterน้องสาว of the beautifulสวย one
379
1161000
7000
แล้วครอบครัวของเธอก็เริ่มทำเหมือนกับเธอเป็นพี่สาวน่าเกลียดของน้องสาวแสนสวย
19:43
for whomใคร all the balletระบำปลายเท้า lessonsบทเรียน were givenรับ.
380
1168000
2000
เหมือนกับในละครบันเลย์
19:45
And she had to go alongตาม just to be with her sisterน้องสาว for companyบริษัท,
381
1170000
5000
และเธอก็ต้องทำตัวตามน้ำเพียงแค่ต้องไปเป็นเพื่อนน้องสาวเธอ
19:50
and in that processกระบวนการ, she madeทำ a numberจำนวน of decisionsการตัดสินใจ.
382
1175000
3000
แล้วหลังจากนั้น เธอก็ตัดสินใจอะไรหลายอย่าง
19:53
First of all, was that danceเต้นรำ, even thoughแม้
383
1178000
2000
อย่างแรก คือการเต้น แม้ว่า
19:55
it hadn'tไม่ได้ been offeredที่นำเสนอ to her, was her life.
384
1180000
2000
มันไม่ได้หยิบยื่นให้เธอ แต่มันเป็นชีวิตของเธอ
19:57
And secondlyในประการที่สอง, she had better be,
385
1182000
2000
และอย่างที่สอง เธอคิดว่าเธอควรจะเป็น
19:59
althoughแม้ว่า she did danceเต้นรำ for a while, a choreographerนักออกแบบท่าเต้น
386
1184000
2000
ถึงแม้ว่าเธอเต้นมาทั้งชีวิต เธอควรเป็นคนออกแบบท่าเต้นมากกว่า
20:01
because then her looksรูปลักษณ์ didn't matterเรื่อง.
387
1186000
3000
เพราะด้วยอาชีพแบบนี้หน้าตาก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
20:04
But she was thrilledน่าตื่นตาตื่นใจ to get that out as a realจริง, realจริง factความจริง in her life.
388
1189000
7000
กลับกลายเป็นว่าเธอรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ทำเรื่องนี้ กับชีวิตของเธอ
20:11
It was an amazingน่าอัศจรรย์ privilegeสิทธิพิเศษ to do this seriesชุด.
389
1196000
5000
ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ทำงานในซีรีย์นี้
20:16
There were other momentsช่วงเวลา like that, very fewน้อย momentsช่วงเวลา of silenceความเงียบ.
390
1201000
6000
มีหลายเวลาที่ผมรู้สึกเช่นนั้น น้อยครั้งมกาที่เป็นช่วงเวลาเงียบสงัด
20:22
The keyสำคัญ pointจุด was empathyการเอาใจใส่
391
1207000
3000
กุญแจสำคัญก็คือการเอาใจใส่
20:25
because everybodyทุกคน in theirของพวกเขา livesชีวิต
392
1210000
4000
เพราะในชีวิตของทุกคน
20:29
is really waitingที่รอ for people to askถาม them questionsคำถาม,
393
1214000
4000
คือการรอคอยใครสักคนที่จะถามคำถามต่างๆ
20:33
so that they can be truthfulสุจริต about who they are
394
1218000
2000
ที่พวกเขาสามารถไว้ใจได้ว่าเขาเป็นอย่างที่เขาเป็นอยู่ได้
20:35
and how they becameกลายเป็น what they are,
395
1220000
3000
และเล่าถึงเรื่องว่าเขาเป็นอย่างที่เป็นอยู่ได้อย่างไร
20:38
and I commendยกย่อง that to you, even if you're not doing interviewsการสัมภาษณ์.
396
1223000
4000
ผมขอชวนให้ทุกคน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำเรื่องสัมภาษณ์
20:42
Just be that way with your friendsเพื่อน
397
1227000
2000
จงเป็นคนเอาใจใส่กับเหล่าเพื่อนของคุณ
20:44
and particularlyโดยเฉพาะ the olderเก่ากว่า membersสมาชิก of your familyครอบครัว.
398
1229000
3000
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงวัยในครอบครัวคุณเอง
20:47
Thank you very much.
399
1232000
2000
ขอบคุณมากครับ
Translated by Sritala Dhanasarnsombut
Reviewed by Pim Arkkarayut

▲Back to top

ABOUT THE SPEAKER
Marc Pachter - Cultural Historian
Marc Pachter has spent his career curating and creating intimate portraits of the lives of others.

Why you should listen

Marc Pachter is a man of many talents, and it seems he's used every one of them during his 33 years at the Smithsonian Institution. Although he has devoted most of his career to one organization, with the single goal of capturing the lives of great Americans, to do so he has played multiple roles. He began his time at the Smithsonian just after a five-year stint at Harvard, where he earned a master's in history and taught Colonial history.  Since that time he has served as acting director of the National Museum of American History, chaired the celebration of the Smithsonian's 150th anniversary, created the first national portrait competition, organized the first national conference on biography and created an interview program called "Living Self-Portaits" which earned him the title of Smithsonian "master interviewer."

In his final years at the Smithsonian, Pachter was director of the National Portrait Gallery Director, retiring in 2007 to work on his writing. Pachter has authored two books, Telling Lives: The Biographer's Art and A Gallery of Presidents, and is editor of several more. In addition, he holds an editorial role at the peer-reviewed journal Biography and was senior cultural advisor to the United States Information Agency for some years.

More profile about the speaker
Marc Pachter | Speaker | TED.com