TED2011
Kathryn Schulz: On being wrong
แคทรีน ชูล์ส:ความผิดพลาด
Filmed:
Readability: 3.5
4,826,828 views
คนเราส่วนใหญ่จะทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาด แต่ถ้าเราเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เล่า ศาสตร์แห่งความผิดพลาดที่แคทรีน ชูล์ส ได้ยกตัวอย่างที่น่าสนใจและทำให้เราได้พร้อมยอมรับกับความผิดพลาดต่างๆของเรา
Kathryn Schulz - Wrongologist
Kathryn Schulz is a staff writer for the New Yorker and is the author of "Being Wrong: Adventures in the Margin of Error." Full bio
Kathryn Schulz is a staff writer for the New Yorker and is the author of "Being Wrong: Adventures in the Margin of Error." Full bio
Double-click the English transcript below to play the video.
00:15
So it's 1995,
0
0
3000
ในปี ค.ศ. 1995
00:18
I'm in college,
1
3000
2000
ฉันยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยอยู่
00:20
and a friend and I go on a road trip
2
5000
3000
เพื่อนกับฉันมักขับรถเที่ยว
00:23
from Providence, Rhode Island
3
8000
2000
จากโพรวิเดนส์ โรด ไอแลนด์
00:25
to Portland, Oregon.
4
10000
2000
ถึงพอร์ทแลนด์ โอเรกอน
00:27
And you know, we're young and unemployed,
5
12000
3000
แล้วอย่างที่รู้ พวกเราเด็กแล้วก็ยังไม่มีงานทำ
00:30
so we do the whole thing on back roads
6
15000
2000
ดังนั้นเราจึงเลือกเดินทางตามชนบท
00:32
through state parks
7
17000
2000
ผ่านสวนสาธารณะของรัฐ
00:34
and national forests --
8
19000
3000
และป่าสงวนต่างๆ
00:37
basically the longest route we can possibly take.
9
22000
3000
หลักๆเราเลือกเส้นทางที่ยาวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
00:41
And somewhere in the middle of South Dakota,
10
26000
3000
ในสถานที่นึงใจกลางรัฐเซาท์ดาโกต้า
00:44
I turn to my friend
11
29000
3000
ฉันหันไปหาเพื่อนของฉัน
00:47
and I ask her a question
12
32000
2000
แล้วถามว่า
00:49
that's been bothering me
13
34000
2000
มันกวนใจฉัน
00:51
for 2,000 miles.
14
36000
3000
ตลอดทาง 2,000 ไมล์
00:55
"What's up with the Chinese character I keep seeing by the side of the road?"
15
40000
4000
ตัวหนังสือจีนที่ฉันเห็นอยู่ข้างทางเนี่ยมันคืออะไรกันแน่?
01:02
My friend looks at me totally blankly.
16
47000
4000
เพื่อนฉันทำหน้ามึนงง ไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันพูด
01:06
There's actually a gentleman in the front row
17
51000
2000
เหมือนกับที่ท่านสุภาพบุรุษด้านหน้านี้เป็นอยู่
01:08
who's doing a perfect imitation of her look.
18
53000
3000
คุณเป็นตัวอย่างอาการของเพื่อนฉันได้อย่างดี
01:11
(Laughter)
19
56000
3000
(หัวเราะ)
01:14
And I'm like, "You know,
20
59000
2000
แล้วฉันก็แบบว่า ก็นั่นไง
01:16
all the signs we keep seeing
21
61000
2000
ป้ายที่เราเห็นตามทาง
01:18
with the Chinese character on them."
22
63000
3000
ที่มีตัวหนังสือภาษาจีนอยู่ไง
01:22
She just stares at me for a few moments,
23
67000
3000
เธอจ้องฉันอยู่ครู่หนึ่ง
01:25
and then she cracks up,
24
70000
3000
และในที่สุดเธอก็เข้าใจ
01:28
because she figures out what I'm talking about.
25
73000
2000
และนึกออกว่าสิ่งที่ฉันพูดถึงคืออะไร
01:30
And what I'm talking about is this.
26
75000
3000
สิ่งที่ฉันพูดก็คือ สิ่งนี้
01:33
(Laughter)
27
78000
6000
(หัวเราะ)
01:39
Right, the famous Chinese character for picnic area.
28
84000
4000
ใช่แล้วค่ะ ตัวหนังสือจีนอันโด่งดังที่หมายถึงพื้นที่ปิกนิคนั่นเอง
01:43
(Laughter)
29
88000
2000
(หัวเราะ)
01:45
I've spent the last five years of my life
30
90000
4000
ช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมาของฉันได้ใช้ไปกับ
01:49
thinking about situations
31
94000
2000
การครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ
01:51
exactly like this --
32
96000
3000
อย่างในสถานการณ์นี้
01:54
why we sometimes misunderstand
33
99000
2000
ว่าทำไมบางครั้งพวกเราเข้าใจผิด
01:56
the signs around us,
34
101000
2000
กับสัญลักษณ์รอบตัวเรา
01:58
and how we behave when that happens,
35
103000
3000
และทำไมเราถึงได้ทำตัวเช่นนั้น
02:01
and what all of this can tell us about human nature.
36
106000
4000
แล้วสิ่งเหล่านี้มันบอกอะไรเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์
02:05
In other words, as you heard Chris say,
37
110000
2000
อีกนัยนึง อย่างที่คริสพูด
02:07
I've spent the last five years
38
112000
2000
ว่าฉันได้ใช้เวลาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา
02:09
thinking about being wrong.
39
114000
3000
คิดเกี่ยวกับเรื่องความผิดพลาด
02:12
This might strike you as a strange career move,
40
117000
3000
คุณอาจคิดว่ามันเป็นการเลือกสายอาชีพที่แปลกอยู่
02:15
but it actually has one great advantage:
41
120000
3000
แต่มันมีข้อได้เปรียบอยู่อย่างนึง
02:18
no job competition.
42
123000
2000
คือ การไม่มีคู่แข่ง
02:20
(Laughter)
43
125000
2000
(หัวเราะ)
02:22
In fact, most of us do everything we can
44
127000
3000
ในความเป็นจริงแล้ว พวกเราทำทุกวิถีทาง
02:25
to avoid thinking about being wrong,
45
130000
3000
ที่จะเลี่ยงการทำพลาด
02:28
or at least to avoid thinking about the possibility
46
133000
2000
หรืออย่างน้อยก็พยายามคิดหาทางหลีกเลี่ยง
02:30
that we ourselves are wrong.
47
135000
2000
ว่าเราผิด
02:32
We get it in the abstract.
48
137000
2000
ซึ่งนำเราเข้าไปสู่นามธรรม
02:34
We all know everybody in this room makes mistakes.
49
139000
2000
พวกเราต่างรู้กันดีว่าทุกคนในที่นี้ก็เคยทำผิดกันทั้งนั้น
02:37
The human species, in general, is fallible -- okay fine.
50
142000
3000
เผ่าพันธุ์มนุษย์เรา โดยส่วนใหญ่ก็ผิดพลาดกันอยู่แล้ว
02:41
But when it comes down to me, right now,
51
146000
3000
แต่เมื่อมาถึงตอนนี้
02:44
to all the beliefs I hold,
52
149000
2000
สำหรับสิ่งที่ฉันเชื่อ
02:46
here in the present tense,
53
151000
3000
ณ ปัจจุบัน
02:49
suddenly all of this abstract appreciation of fallibility
54
154000
4000
ทันใดนั้น การรู้ซึ้งถึงนามธรรมเกี่ยวกับความผิดพลาด
02:53
goes out the window --
55
158000
3000
ทำให้ฉันเปิดกว้าง
02:56
and I can't actually think of anything I'm wrong about.
56
161000
3000
และคิดไม่ออกว่าจริงๆแล้วฉันเคยทำอะไรผิดบ้าง
03:00
And the thing is, the present tense is where we live.
57
165000
3000
จริงๆแล้ว ณ ปัจจุบัน คือที่ที่เราอยู่
03:03
We go to meetings in the present tense;
58
168000
3000
เราไปสัมมนา ในขณะนี้
03:06
we go on family vacations in the present tense;
59
171000
2000
เราไปเที่ยววันหยุดกับครอบครัว ณ ช่วงเวลานี้
03:08
we go to the polls and vote in the present tense.
60
173000
4000
เราไปเข้าคูหาเลือกตั้งก็ทำในช่วงเวลานี้
03:12
So effectively, we all kind of wind up traveling through life,
61
177000
3000
ผลสรุปก็คือเราผ่านพ้นช่วงเวลาต่างๆในชีวิต
03:15
trapped in this little bubble
62
180000
2000
กักขังตัวเองอยู่ในฟองสบู่เล็กๆ
03:17
of feeling very right about everything.
63
182000
3000
ที่เกี่ยวกับการทำทุกอย่างให้ถูกต้อง
03:21
I think this is a problem.
64
186000
2000
ฉันคิดว่านี่คือปัญหา
03:23
I think it's a problem for each of us as individuals,
65
188000
3000
ฉันคิดว่ามันเป็นปัญหากับเราทุกๆคน
03:26
in our personal and professional lives,
66
191000
3000
ทั้งในชีวิตส่วนตัวและหน้าที่การงาน
03:29
and I think it's a problem for all of us collectively as a culture.
67
194000
3000
และฉันคิดว่ามันเป็นปัญหาจากการสั่งสมอบรมมาเป็นเวลานาน
03:32
So what I want to do today
68
197000
2000
ดังนั้นสิ่งที่ฉันอยากทำในวันนี้
03:34
is, first of all, talk about why we get stuck
69
199000
3000
สิ่งแรกก็คือพูดถึงเหตุผลที่พวกเรายึดติดกับ
03:37
inside this feeling of being right.
70
202000
2000
ความรู้สึกถึงความถูกต้อง
03:39
And second, why it's such a problem.
71
204000
3000
ถัดมาก็คือ ทำไมมันถึงเป็นปัญหา
03:42
And finally, I want to convince you
72
207000
2000
และสุดท้ายฉันอยากจะบอกคุณ
03:44
that it is possible
73
209000
2000
ว่ามันมีความเป็นไปได้
03:46
to step outside of that feeling
74
211000
2000
ที่จะก้าวออกจากความรู้สึกนั้น
03:48
and that if you can do so,
75
213000
2000
และถ้าคุณทำได้
03:50
it is the single greatest
76
215000
2000
มันคือก้าวสำคัญ
03:52
moral, intellectual and creative leap you can make.
77
217000
3000
ที่คุณสามารถทำได้ทั้งทางจริยธรรม วิชาการและความสร้างสรรค์
03:57
So why do we get stuck
78
222000
2000
มาเริ่มจากทำไมเราถึงยึดติด
03:59
in this feeling of being right?
79
224000
2000
กับความรู้สึกถูกต้อง
04:01
One reason, actually, has to do with a feeling of being wrong.
80
226000
3000
เหตุผลนึงเกี่ยวข้องกับความรู้สึกของการทำผิดพลาด
04:04
So let me ask you guys something --
81
229000
2000
ดังนั้นขอฉันถามพวกคุณบางอย่างหน่อย
04:06
or actually, let me ask you guys something, because you're right here:
82
231000
4000
ขอถามพวกคุณแล้วกัน เพราะคุณนั่งตรงนี้
04:10
How does it feel -- emotionally --
83
235000
3000
คุณรู้สึกอย่างไร ทางด้านอารมณ์
04:13
how does it feel to be wrong?
84
238000
3000
คุณรู้สึกอย่างไรเวลาทำผิด
04:16
Dreadful. Thumbs down.
85
241000
3000
หวาดกลัว คว่ำหัวแม่โป้งลง
04:19
Embarrassing. Okay, wonderful, great.
86
244000
2000
อาย โอเค ดีคะ
04:21
Dreadful, thumbs down, embarrassing --
87
246000
2000
มีทั้งหวาดกลัว ทั้งคว่ำหัวโป้งลง แล้วก็อาย
04:23
thank you, these are great answers,
88
248000
3000
ขอบคุณค่ะ เป็นคำตอบที่ดีมาก
04:26
but they're answers to a different question.
89
251000
3000
แต่พวกเขาไม่ได้ตอบคำถามฉัน
04:29
You guys are answering the question:
90
254000
2000
พวกคุณตอบคำถามที่ว่า
04:31
How does it feel to realize you're wrong?
91
256000
3000
คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อคุณรู้ตัวว่าคุณทำผิดพลาด
04:34
(Laughter)
92
259000
4000
(หัวเราะ)
04:38
Realizing you're wrong can feel like all of that and a lot of other things, right?
93
263000
3000
การที่เรารู้ตัวว่าเราผิดพลาดเราจะรู้สึกอย่างที่พวกคุณบอกและในอีกหลายๆแบบ จริงไหมคะ?
04:41
I mean it can be devastating, it can be revelatory,
94
266000
3000
ฉันหมายถึงมันอาจจะทำให้ผิดหวัง ทำให้สิ้นหวัง
04:44
it can actually be quite funny,
95
269000
2000
หรืออาจจะรู้สึกตลก
04:46
like my stupid Chinese character mistake.
96
271000
3000
อย่างตัวหนังสือจีนโง่ๆที่ฉันเข้าใจผิดก็เป็นได้
04:49
But just being wrong
97
274000
3000
แต่แค่ทำผิด
04:52
doesn't feel like anything.
98
277000
2000
ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกอะไร
04:54
I'll give you an analogy.
99
279000
3000
ฉันจะเปรียบเทียบให้คุณฟัง
04:57
Do you remember that Loony Tunes cartoon
100
282000
2000
พวกคุณรู้จักการ์ตูนของลูนนี่ ทูนส์ใช่ไหม
04:59
where there's this pathetic coyote
101
284000
2000
ที่มีเจ้าตัวคโยตี้ที่น่าสงสาร
05:01
who's always chasing and never catching a roadrunner?
102
286000
2000
ไล่ตามแต่ไม่เคยจับเจ้าตัวโรดรันเนอร์ได้
05:03
In pretty much every episode of this cartoon,
103
288000
3000
ในเกือบทุกตอนของการ์ตูนเรื่องนี้
05:06
there's a moment where the coyote is chasing the roadrunner
104
291000
2000
จะมีช่วงนึงที่คโยตี้ไล่โรดรันเนอร์
05:08
and the roadrunner runs off a cliff,
105
293000
2000
แล้วโรดรันเนอร์วิ่งออกนอกหุบเขา
05:10
which is fine -- he's a bird, he can fly.
106
295000
3000
ซึ่งก็ไม่เป็นไรเพราะเขาเป็นนก เขาบินได้
05:13
But the thing is, the coyote runs off the cliff right after him.
107
298000
4000
แต่คโยตี้ที่วิ่งออกนอกหุบเขาตามหลังเนี่ยสิ
05:17
And what's funny --
108
302000
2000
สิ่งนี้แหละที่ตลก
05:19
at least if you're six years old --
109
304000
2000
อย่างน้อยก็ตอนคุณอายุ 6 ขวบ
05:21
is that the coyote's totally fine too.
110
306000
2000
แล้วนี่คโยตี้รู้สึกโอเคด้วยหรือเปล่า
05:23
He just keeps running --
111
308000
2000
ที่เขาวิ่งไปเรื่อยๆ
05:25
right up until the moment that he looks down
112
310000
2000
จนกระทั่งในตอนที่เขามองลง
05:27
and realizes that he's in mid-air.
113
312000
3000
และได้รู้ตัวว่าเขาอยู่กลางอากาศ
05:30
That's when he falls.
114
315000
3000
แล้วก็หล่นลงไป
05:34
When we're wrong about something --
115
319000
2000
ในตอนที่เราทำผิดบางอย่าง
05:36
not when we realize it, but before that --
116
321000
3000
ไม่ใช่ตอนที่เรารู้สึกตัว แต่เป็นช่วงเวลาก่อนหน้านั้น
05:39
we're like that coyote
117
324000
3000
เราก็เหมือนกับเจ้าคโยตี้
05:42
after he's gone off the cliff and before he looks down.
118
327000
3000
ที่วิ่งเลยหุบเขา ก่อนที่ตัวเองจะมองข้างล่าง
05:46
You know, we're already wrong,
119
331000
3000
คุณรู้ว่าเราผิดแล้ว
05:49
we're already in trouble,
120
334000
2000
เราเจอปัญหาแล้ว
05:51
but we feel like we're on solid ground.
121
336000
3000
แต่เรายังรู้สึกเหมือนเราอยู่บนพื้นมั่นคง
05:55
So I should actually correct something I said a moment ago.
122
340000
3000
ดังนั้นฉันขอแก้ไขในสิ่งที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้
05:58
It does feel like something to be wrong;
123
343000
3000
ว่ามันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
06:01
it feels like being right.
124
346000
3000
เหมือนกับที่เรารู้สึกว่ามันถูกต้อง
06:04
(Laughter)
125
349000
3000
(หัวเราะ)
06:07
So this is one reason, a structural reason,
126
352000
3000
นี่คือเหตุผลนึง ที่เป็นองค์ประกอบนึงของเหตุผล
06:10
why we get stuck inside this feeling of rightness.
127
355000
2000
ที่ว่าทำไมเรายึดติดกับความรู้สึกถูกต้องไว้ในตัวเรา
06:12
I call this error blindness.
128
357000
2000
ฉันเรียกสิ่งนี้ว่าข้อผิดพลาดที่เรามองไม่เห็น
06:14
Most of the time,
129
359000
2000
โดยส่วนใหญ่แล้ว
06:16
we don't have any kind of internal cue
130
361000
3000
เราไม่มีข้อคิดภายในหัวเรา
06:19
to let us know that we're wrong about something,
131
364000
2000
เกี่ยวกับการทำผิดพลาดเลย
06:21
until it's too late.
132
366000
3000
จนกระทั่งมันสายไปแล้ว
06:24
But there's a second reason that we get stuck inside this feeling as well --
133
369000
3000
แต่มีอีกเหตุผลนึงที่ทำให้พวกเรายึดติดกับความรู้สึกนี้เหมือนกัน
06:27
and this one is cultural.
134
372000
2000
และนั่นก็คือการปลูกฝังวัฒนธรรม
06:30
Think back for a moment to elementary school.
135
375000
3000
ลองนึกย้อนไปเมื่อตอนสมัยประถม
06:33
You're sitting there in class,
136
378000
2000
คุณกำลังนั่งอยู่ในห้องเรียน
06:35
and your teacher is handing back quiz papers,
137
380000
3000
แล้วคุณครูของคุณก็ยื่นกระดาษทดสอบให้
06:38
and one of them looks like this.
138
383000
2000
แล้วของใครบางคนจะเป็นหน้าตาแบบนี้
06:40
This is not mine, by the way.
139
385000
2000
แต่นั่นไม่ใช่ฉัน บอกไว้ก่อน
06:42
(Laughter)
140
387000
2000
(หัวเราะ)
06:44
So there you are in grade school,
141
389000
3000
คุณอยู่ในชั้นเรียน
06:47
and you know exactly what to think
142
392000
2000
และคุณรู้แน่นอนว่าคุณต้องคิดอะไร
06:49
about the kid who got this paper.
143
394000
3000
เกี่ยวกับเด็กที่เป็นเจ้าของกระดาษใบนี้
06:52
It's the dumb kid, the troublemaker,
144
397000
3000
ว่าเป็นเด็กโง่ เด็กเจ้าปัญหา
06:55
the one who never does his homework.
145
400000
3000
ที่ไม่เคยทำการบ้านส่งเลย
06:58
So by the time you are nine years old,
146
403000
3000
เมื่อคุณอายุได้ 9 ขวบ
07:01
you've already learned, first of all,
147
406000
2000
อย่างแรก คุณได้เรียนรู้ว่า
07:03
that people who get stuff wrong
148
408000
2000
คนที่ทำอะไรผิดๆ
07:05
are lazy, irresponsible dimwits --
149
410000
3000
คือคนที่ขี้เกียจ ไม่รับผิดชอบ ปัญญาทึบ
07:08
and second of all,
150
413000
2000
อย่างที่สอง
07:10
that the way to succeed in life
151
415000
2000
ก็คือหนทางที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น
07:12
is to never make any mistakes.
152
417000
3000
จะต้องไม่ทำอะไรผิดพลาด
07:16
We learn these really bad lessons really well.
153
421000
4000
พวกเราเรียนรู้บทเรียนแย่ๆเหล่านี้ได้อย่างดี
07:21
And a lot of us --
154
426000
2000
และในหลายคน
07:23
and I suspect, especially a lot of us in this room --
155
428000
4000
และฉันสันนิษฐานว่าหลายคนในที่นี้
07:27
deal with them by just becoming
156
432000
2000
จัดการกับเรื่องนี้โดย
07:29
perfect little A students,
157
434000
2000
กลายเป็นเด็กนักเรียนเกรดเอ
07:31
perfectionists, over-achievers.
158
436000
3000
เป็นพวกเนี้ยบทุกกระเบียดนิ้ว ตั้งเป้าไว้สูง
07:34
Right,
159
439000
2000
ใช่ไหมคะ?
07:36
Mr. CFO, astrophysicist, ultra-marathoner?
160
441000
4000
คุณซีเอฟโอ นักฟิสิกส์ดวงดาว แล้วก็นักมาราธอนทั้งหลาย
07:40
(Laughter)
161
445000
7000
(หัวเราะ)
07:47
You're all CFO, astrophysicists, ultra-marathoners, it turns out.
162
452000
4000
คุณกลายเป็น ซีเอฟโอ นักฟิสิกส์ดวงดาว นักมาราธอน
07:51
Okay, so fine.
163
456000
2000
นั่นก็ โอเค
07:53
Except that then we freak out
164
458000
3000
กระทั่งเมื่อตอนที่เราตื่นตระหนก
07:56
at the possibility that we've gotten something wrong.
165
461000
2000
กับเรื่องที่เราทำผิดพลาด
07:58
Because according to this,
166
463000
3000
จากเรื่องนี้
08:01
getting something wrong
167
466000
2000
การทำอะไรผิด
08:03
means there's something wrong with us.
168
468000
3000
หมายถึงมีอะไรบางอย่างในตัวเราผิดปกติ
08:06
So we just insist that we're right,
169
471000
2000
ดังนั้นเรายืนกรานว่าเราถูก
08:08
because it makes us feel smart and responsible
170
473000
2000
เพราะว่ามันทำให้เรารู้สึกว่าเราฉลาดและดูมีความรับผิดชอบ
08:10
and virtuous and safe.
171
475000
3000
รู้สึกถูกต้องและปลอดภัย
08:14
So let me tell you a story.
172
479000
2000
ขอให้ฉันเล่าเรื่องนึง
08:16
A couple of years ago,
173
481000
2000
เมื่อสองสามปีที่แล้ว
08:18
a woman comes into Beth Israel Deaconess Medical Center for a surgery.
174
483000
3000
ผู้หญิงหลายคนมาที่ เบธ อิสราเอล เดคอนส์ เมดิเคิร์ล เซ็นเตอร์ ที่สำหรับศัลยกรรม
08:21
Beth Israel's in Boston.
175
486000
2000
เบธ อิสราเอล อยู่ที่บอสตัน
08:23
It's the teaching hospital for Harvard --
176
488000
2000
เป็นที่ศึกษาแพทย์ของฮาร์เวิร์ด
08:25
one of the best hospitals in the country.
177
490000
2000
หนึ่งในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดของประเทศ
08:27
So this woman comes in and she's taken into the operating room.
178
492000
3000
ผู้หญิงเหล่านี้ไปเข้ารับการผ่าตัด
08:30
She's anesthetized, the surgeon does his thing --
179
495000
2000
เธอก็โดนวางยาสลบ ส่วนศัลยแพทย์ก็ทำงานของเขาไป
08:32
stitches her back up, sends her out to the recovery room.
180
497000
3000
เย็บแผล แล้วก็ส่งเธอเข้าห้องพักฟื้น
08:35
Everything seems to have gone fine.
181
500000
3000
ทุกอย่างดูเหมือนเป็นไปได้ด้วยดี
08:38
And she wakes up, and she looks down at herself,
182
503000
3000
จนกระทั่งตอนที่เธอตื่นขึ้นแล้วมองที่ตัวเอง
08:41
and she says, "Why is the wrong side of my body in bandages?"
183
506000
4000
แล้วเธอก็พูดว่า "ทำไมผ้าพันแผลอยู่ผิดข้างล่ะ?"
08:45
Well the wrong side of her body is in bandages
184
510000
3000
สาเหตุที่มันผ้าพันแผลอยู่ผิดฝั่ง
08:48
because the surgeon has performed a major operation
185
513000
2000
เพราะว่าศัลยแพทย์ทำการผ่าตัดสำคัญ
08:50
on her left leg instead of her right one.
186
515000
3000
ที่ขาด้านซ้ายแทนที่จะเป็นด้านขวา
08:54
When the vice president for health care quality at Beth Israel
187
519000
3000
เมื่อรองประธานฝ่ายประกันคุณภาพด้านการดูแลสุขภาพของเบธ อิสราเอล
08:57
spoke about this incident,
188
522000
3000
ได้กล่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้
09:00
he said something very interesting.
189
525000
3000
เขาได้พูดบางอย่างที่น่าสนใจ
09:03
He said, "For whatever reason,
190
528000
3000
เขาพูดว่า ด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม
09:06
the surgeon simply felt
191
531000
2000
ศัลยแพทย์รู้สึกว่า
09:08
that he was on the correct side of the patient."
192
533000
2000
เขาได้ผ่าตัดให้คนไข้ถูกฝั่งแล้ว
09:10
(Laughter)
193
535000
3000
(หัวเราะ)
09:15
The point of this story
194
540000
2000
จุดประสงค์ของเรื่องนี้คือ
09:17
is that trusting too much in the feeling
195
542000
3000
เชื่อมั่นกับความรู้สึกมากเกินไป
09:20
of being on the correct side of anything
196
545000
3000
ว่าตัวเองอยู่ฝั่งที่ถูกต้องในทุกๆเรื่อง
09:23
can be very dangerous.
197
548000
3000
อาจจะเป็นเรื่องอันตรายได้
09:26
This internal sense of rightness
198
551000
3000
ความรู้สึก สัมผัสเกี่ยวกับเรื่องความถูกต้องภายใน
09:29
that we all experience so often
199
554000
2000
ที่เราได้ประสบบ่อยๆนั้น
09:31
is not a reliable guide
200
556000
2000
ไม่สามารถเชื่อ ยึดเอาเป็นแนวทางได้
09:33
to what is actually going on in the external world.
201
558000
3000
สำหรับใช้ในโลกภายนอกได้
09:36
And when we act like it is,
202
561000
2000
แล้วเมื่อเราทำแบบนั้น
09:38
and we stop entertaining the possibility that we could be wrong,
203
563000
4000
เราหมดสนุกกับความเป็นไปได้ที่เราจะทำผิด
09:42
well that's when we end up doing things
204
567000
2000
เมื่อนั้นเราก็จะจบลงด้วย
09:44
like dumping 200 million gallons of oil into the Gulf of Mexico,
205
569000
4000
การเทน้ำมันลงในอ่าวเม็กซิโกกว่าสองร้อยล้านแกลลอน
09:48
or torpedoing the global economy.
206
573000
3000
หรือถล่มเศรษฐกิจโลก
09:52
So this is a huge practical problem.
207
577000
3000
นี่คือปัญหาใหญ่ในเชิงปฏิบัติ
09:55
But it's also a huge social problem.
208
580000
3000
แต่มันก็เป็นปัญหาใหญ่ทางสังคมด้วยเช่นกัน
09:58
Think for a moment about what it means to feel right.
209
583000
4000
ลองใช้เวลาคิดสักครู่ ว่าการรู้สึกถูกมันมีความหมายอย่างไร
10:02
It means that you think that your beliefs
210
587000
2000
มันหมายถึงสิ่งที่คุณเชื่อ
10:04
just perfectly reflect reality.
211
589000
3000
มันสะท้อนความเป็นจริงอย่างลงตัว
10:07
And when you feel that way,
212
592000
2000
และเมื่อคุณรู้สึกเช่นนั้น
10:09
you've got a problem to solve,
213
594000
2000
คุณมีปัญหาที่ต้องแก้
10:11
which is, how are you going to explain
214
596000
2000
ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณจะอธิบายอย่างไร
10:13
all of those people who disagree with you?
215
598000
3000
กับคนที่ไม่เห็นด้วยกับคุณ
10:16
It turns out, most of us explain those people the same way,
216
601000
3000
มันกลายเป็นว่าเราอธิบายให้คนอื่นฟังในแบบเดียวกัน
10:19
by resorting to a series of unfortunate assumptions.
217
604000
3000
โดยการบอกเล่าสมมติฐานอาภัพเหล่านั้น
10:23
The first thing we usually do when someone disagrees with us
218
608000
3000
อย่างแรกที่เราจะทำเมื่อมีคนไม่เห็นด้วยกับเรา
10:26
is we just assume they're ignorant.
219
611000
3000
คือเราคิดไปเองว่าพวกเขาโง่เขลา
10:29
They don't have access to the same information that we do,
220
614000
2000
พวกเขาไม่ได้รับข้อมูลแบบเดียวกับเรา
10:31
and when we generously share that information with them,
221
616000
3000
แล้วเมื่อเราใจดีแบ่งปันข้อมูลกับพวกเขาแล้ว
10:34
they're going to see the light and come on over to our team.
222
619000
3000
พวกเขาก็จะเห็นทางสว่างแ้ล้วเข้าพวกกับเรา
10:37
When that doesn't work,
223
622000
3000
แล้วเมื่อมันไม่ได้ผล
10:40
when it turns out those people have all the same facts that we do
224
625000
2000
เมื่อพวกเขาเหล่านั้นรู้ข้อมูลเหมือนกับที่เรารู้
10:42
and they still disagree with us,
225
627000
2000
แต่ยังไม่เห็นด้วยกับเรา
10:44
then we move on to a second assumption,
226
629000
2000
เราก็ไปยังสมมติฐานที่สอง
10:46
which is that they're idiots.
227
631000
2000
นั่นก็คือพวกนี้มันงี่เง่า
10:48
(Laughter)
228
633000
2000
(หัวเราะ)
10:50
They have all the right pieces of the puzzle,
229
635000
2000
พวกเขามีองค์ประกอบครบทุกอย่างแล้ว
10:52
and they are too moronic to put them together correctly.
230
637000
3000
แต่กลับโง่เกินกว่าที่จะนำสิ่งเหล่านี้มาใช้
10:55
And when that doesn't work,
231
640000
2000
และเมื่อมันยังไม่ได้ผลอีก
10:57
when it turns out that people who disagree with us
232
642000
3000
เมื่อคนเหล่านี้ไม่เห็นด้วยกับคุณ
11:00
have all the same facts we do
233
645000
2000
ทั้งที่รับข้อมูลทุกอย่างเหมือนกัน
11:02
and are actually pretty smart,
234
647000
3000
แล้วยังเป็นคนฉลาดด้วย
11:05
then we move on to a third assumption:
235
650000
3000
เมื่อนั้นเราก็เข้าสู่สมมติฐานที่สาม
11:08
they know the truth,
236
653000
3000
คือพวกเขารู้ความจริง
11:11
and they are deliberately distorting it
237
656000
2000
แต่พวกเขาจงใจบิดเบือนมัน
11:13
for their own malevolent purposes.
238
658000
3000
เพื่อจุดประสงค์ร้ายบางอย่าง
11:17
So this is a catastrophe.
239
662000
2000
นี่เลยกลายเป็นภัยพิบัติ
11:19
This attachment to our own rightness
240
664000
3000
นี่เป็นสิ่งที่ตามมากับความรู้สึกถูกต้องของเรา
11:22
keeps us from preventing mistakes
241
667000
2000
ที่พยายามผลักเราออกจากความผิดพลาด
11:24
when we absolutely need to
242
669000
2000
ในเวลาที่เราต้องการมัน
11:26
and causes us to treat each other terribly.
243
671000
3000
และทำให้เราปฏิบัติต่อกันอย่างน่ากลัว
11:30
But to me, what's most baffling
244
675000
2000
แต่สำหรับฉันแล้ว สิ่งที่น่ามึนงงที่สุด
11:32
and most tragic about this
245
677000
3000
และน่าสลดใจมากที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ
11:35
is that it misses the whole point of being human.
246
680000
4000
เราได้มองข้ามความเป็นมนุษย์ไป
11:39
It's like we want to imagine
247
684000
2000
เหมือนกับเราอยากจินตนาการ
11:41
that our minds are just these perfectly translucent windows
248
686000
3000
ว่าความคิดเราโปร่งใสเหมือนกับหน้าต่างโปร่งแสง
11:44
and we just gaze out of them
249
689000
2000
เมื่อมองไปที่มัน
11:46
and describe the world as it unfolds.
250
691000
3000
โลกทั้งโลกก็คลี่คลายเปิดเผย
11:49
And we want everybody else to gaze out of the same window
251
694000
2000
และพวกเราก็อยากให้คนอื่นๆมองไปหน้าต่างเดียวกับเรา
11:51
and see the exact same thing.
252
696000
2000
และเห็นในอย่างเดียวกับเรา
11:53
That is not true,
253
698000
2000
ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย
11:55
and if it were, life would be incredibly boring.
254
700000
3000
และถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ โลกคงน่าเบื่อมาก
11:58
The miracle of your mind
255
703000
3000
ความอัศจรรย์เกี่ยวกับความคิดคุณ
12:01
isn't that you can see the world as it is.
256
706000
3000
ไม่ได้อยู่ที่การที่คุณมองโลกอย่างที่มันเป็น
12:05
It's that you can see the world as it isn't.
257
710000
3000
แต่เป็นการมองโลกในแบบที่มันไม่ควรเป็นต่างหาก
12:09
We can remember the past,
258
714000
2000
เราสามารถจดจำอดีตได้
12:11
and we can think about the future,
259
716000
3000
เราสามารถคิดถึงอนาคตได้
12:14
and we can imagine what it's like
260
719000
2000
และเราสามารถจินตนาการได้ว่ามันเป็นอย่างไร
12:16
to be some other person in some other place.
261
721000
3000
ที่เป็นคนๆนึงในอีกที่ๆนึง
12:19
And we all do this a little differently,
262
724000
2000
พวกเราทุกคนก็ทำสิ่งนี้แต่ต่างกันในรายละเอียด
12:21
which is why we can all look up at the same night sky
263
726000
2000
ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเราสามารถมองออกไปในคืนเดียวกันแล้ว
12:23
and see this
264
728000
2000
เห็นสิ่งนี้
12:25
and also this
265
730000
2000
แล้วก็สิ่งนี้
12:27
and also this.
266
732000
3000
สิ่งนี้ด้วย
12:30
And yeah, it is also why we get things wrong.
267
735000
3000
ใช่ค่ะ แล้วมันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เราทำอะไรผิดด้วย
12:34
1,200 years before Descartes said his famous thing
268
739000
2000
พันสองร้อยปีที่แล้วก่อนที่เดสอาร์เทสพูดเรื่องดัง
12:36
about "I think therefore I am,"
269
741000
2000
เกี่ยวกับ "ฉันคิด...ฉันจึงมีอยู่"
12:38
this guy, St. Augustine, sat down
270
743000
2000
บุคคลนี้ เซนส์ ออกัสติน นั่งลง
12:40
and wrote "Fallor ergo sum" --
271
745000
3000
เขียนว่า "ฟอร์ลอร์ แอร์โก ซัม"
12:43
"I err therefore I am."
272
748000
4000
"เพราะฉันทำผิด ฉันจึงมีอยู่"
12:47
Augustine understood
273
752000
2000
ออกัสตีนเข้าใจ
12:49
that our capacity to screw up,
274
754000
2000
เกี่ยวกับสมรรถภาพความผิดพลาดของเรา
12:51
it's not some kind of embarrassing defect
275
756000
2000
ไม่ใช่ข้อบกพร่องที่น่าอาย
12:53
in the human system,
276
758000
2000
ในระบบร่างกายมนุษย์เลย
12:55
something we can eradicate or overcome.
277
760000
3000
หรือเป็นสิ่งที่เราสามารถขจัดหรือเอาชนะ
12:58
It's totally fundamental to who we are.
278
763000
3000
มันเป็นพื้นฐานทั้งหมดที่เรามี
13:01
Because, unlike God,
279
766000
2000
เพราะเราไม่เหมือนพระเจ้า
13:03
we don't really know what's going on out there.
280
768000
3000
เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างนอกนั่น
13:06
And unlike all of the other animals,
281
771000
3000
และเราก็ไม่เหมือนกับสัตว์ต่างๆ
13:09
we are obsessed with trying to figure it out.
282
774000
4000
พวกเราหมกมุ่นกับการแก้ปัญหาเหล่านี้
13:13
To me, this obsession
283
778000
2000
สำหรับฉัน ความหมกมุ่นนี้
13:15
is the source and root
284
780000
2000
เป็นแหล่งข้อมูลและรากฐาน
13:17
of all of our productivity and creativity.
285
782000
3000
ของผลผลิตและความคิดสร้างสรรค์ของเรา
13:20
Last year, for various reasons,
286
785000
3000
เมื่อปีที่แล้ว ในเหตุผลหลายๆอย่างต่างกัน
13:23
I found myself listening to a lot of episodes
287
788000
2000
ฉันนั่งฟังวิทยุรายการวิทยุ
13:25
of the Public Radio show This American Life.
288
790000
2000
ชื่อ ดีส อเมริกัน ไลฟ์ หลายตอน
13:27
And so I'm listening and I'm listening,
289
792000
3000
ฉันฟังไปเรื่อยๆ
13:30
and at some point, I start feeling
290
795000
3000
และถึงจุดนึงฉันก็รู้สึกว่า
13:33
like all the stories are about being wrong.
291
798000
3000
ฉันชอบเรื่องเกี่ยวกับความผิดพลาดเหล่านี้
13:37
And my first thought was,
292
802000
2000
ความคิดแรกในหัวฉันคือ
13:39
"I've lost it.
293
804000
2000
ฉันหลงทางแล้ว
13:41
I've become the crazy wrongness lady.
294
806000
2000
ฉันกลายเป็นหญิงบ้าผู้คลั่งความผิดพลาดไปแล้ว
13:43
I just imagined it everywhere,"
295
808000
2000
ฉันคิดไปได้ต่างๆนานา
13:45
which has happened.
296
810000
2000
ซึ่งมันจริง
13:47
But a couple of months later,
297
812000
2000
แต่สองสามเดือนหลังจากนั้น
13:49
I actually had a chance to interview Ira Glass, who's the host of the show.
298
814000
2000
ฉันได้มีโอกาสสัมภาษณ์ อิรา กลาส ที่เป็นพิธีกรของรายการนี้
13:51
And I mentioned this to him,
299
816000
2000
และฉันก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง
13:53
and he was like, "No actually, that's true.
300
818000
3000
แล้วเขาก็พูดว่า ไม่ ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องจริง
13:56
In fact," he says,
301
821000
2000
มันคือ
13:58
"as a staff, we joke
302
823000
2000
เราเป็นผู้ดำเนินรายการ เราขำ
14:00
that every single episode of our show
303
825000
2000
ในทุกๆตอนของรายการ
14:02
has the same crypto-theme.
304
827000
3000
ที่มีรูปแบบเหมือนๆกัน
14:05
And the crypto-theme is:
305
830000
2000
รูปแบบนั้นก็คือ
14:07
'I thought this one thing was going to happen
306
832000
3000
"ฉันคิดว่ามันต้องเป็นแบบนี้แน่เลย
14:10
and something else happened instead.'
307
835000
3000
แต่แล้วกลับกลายเป็นอีกอย่างนึงซะนี่"
14:13
And the thing is," says Ira Glass, "we need this.
308
838000
3000
แล้วสิ่งนี้เป็นสิ่งที่พวกเราต้องการ อิรา กราสกล่าว
14:16
We need these moments
309
841000
2000
เราต้องการช่วงเวลาเหล่านี้
14:18
of surprise and reversal and wrongness
310
843000
2000
ช่วงเวลาประหลาดใจ พลิกผลันและความผิดพลาดต่างๆ
14:20
to make these stories work."
311
845000
2000
ที่จะทำให้เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ดี
14:22
And for the rest of us, audience members,
312
847000
2000
และสำหรับคนที่เหลือ หรือผู้ชม
14:24
as listeners, as readers,
313
849000
3000
ที่เป็นผู้ฟังหรือผู้อ่าน
14:27
we eat this stuff up.
314
852000
2000
พวกเราเสพสิ่งเหล่านี้เข้าไป
14:29
We love things like plot twists
315
854000
3000
พวกเราชอบพล๊อตที่มีจุดหักมุม
14:32
and red herrings and surprise endings.
316
857000
3000
จุดเปลี่ยนและเรื่องประหลาดใจในตอนจบ
14:35
When it comes to our stories,
317
860000
3000
เมื่อมาถึงเรื่องของพวกเรา
14:38
we love being wrong.
318
863000
3000
เรารักที่จะผิดพลาด
14:41
But, you know, our stories are like this
319
866000
2000
แต่อย่างที่คุณรู้ เรื่องของพวกเราเป็นแบบนี้
14:43
because our lives are like this.
320
868000
3000
เพราะพวกเรามีชีวิตแบบนี้
14:46
We think this one thing is going to happen
321
871000
3000
พวกเราคิดว่าสิ่งนึงจะต้องเกิดขึ้น
14:49
and something else happens instead.
322
874000
3000
แต่กลับมีอีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นแทน
14:52
George Bush thought he was going to invade Iraq,
323
877000
2000
จอร์ช บุช คิดว่าเขาจะบุกยึกอิรัก
14:54
find a bunch of weapons of mass destruction,
324
879000
2000
ค้นหาคลังอาวุธทำลายล้าง
14:56
liberate the people and bring democracy to the Middle East.
325
881000
3000
ปลดปล่อยคนและนำประชาธิปไตยสู่ตะวันออกกลาง
15:00
And something else happened instead.
326
885000
2000
แต่แล้วบางอย่างก็เกิดขึ้นแทน
15:03
And Hosni Mubarak
327
888000
2000
โฮสนี่ มูบารัค
15:05
thought he was going to be the dictator of Egypt for the rest of his life,
328
890000
2000
คิดว่าเขาจะเป็นผู้นำเผด็จการของอียิปต์ไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่
15:07
until he got too old or too sick
329
892000
2000
จนกระทั่งเขาแก่และป่วยเกินกว่าที่จะทำ
15:09
and could pass the reigns of power onto his son.
330
894000
3000
เขาจะยกทุกอย่างให้อยู่ในอำนาจของลูกชาย
15:12
And something else happened instead.
331
897000
3000
แต่มันก็ไม่เป็นแบบนั้น
15:16
And maybe you thought
332
901000
2000
และบางทีคุณคิดว่า
15:18
you were going to grow up and marry your high school sweetheart
333
903000
2000
คุณจะโตขึ้น แต่งงานกับหวานใจตอนสมัยวัยรุ่น
15:20
and move back to your hometown and raise a bunch of kids together.
334
905000
3000
กลับบ้านเกิด แล้วก็เลี้ยงลูกด้วยกัน
15:24
And something else happened instead.
335
909000
3000
แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น
15:27
And I have to tell you
336
912000
2000
และฉันจะบอกคุณว่า
15:29
that I thought I was writing an incredibly nerdy book
337
914000
2000
ฉันคิดว่าฉันเขียนหนังสือเนิร์ดสุดๆ
15:31
about a subject everybody hates
338
916000
2000
ในเรื่องที่ทุกคนเกลียด
15:33
for an audience that would never materialize.
339
918000
3000
สำหรับคนอ่านที่ไม่เคยทำอะไรเป็นรูปเป็นร่าง
15:36
And something else happened instead.
340
921000
2000
แต่มันก็ไม่เป็นแบบนั้น
15:38
(Laughter)
341
923000
2000
(หัวเราะ)
15:40
I mean, this is life.
342
925000
2000
ฉันหมายถึง นี่คือชีวิต
15:42
For good and for ill,
343
927000
2000
ทั้งดี ทั้งแย่
15:44
we generate these incredible stories
344
929000
3000
เรารวมมันเป็นเรื่องอย่างลงตัว
15:47
about the world around us,
345
932000
2000
เกี่ยวกับโลกรอบตัวเรา
15:49
and then the world turns around and astonishes us.
346
934000
3000
และเมื่อโลกเปลี่ยนไปและทำให้เราประหลาดใจ
15:55
No offense, but this entire conference
347
940000
3000
ไม่ได้ว่าร้ายนะคะ แต่ตลอดสัมมนานี้
15:58
is an unbelievable monument
348
943000
2000
คืออนุสาวรีย์อันน่าทึ่ง
16:00
to our capacity to get stuff wrong.
349
945000
2000
ที่เป็นผลผลิตของความผิดพลาดของเรา
16:02
We just spent an entire week
350
947000
2000
เราใช้เวลาทั้งสัปดาห์
16:04
talking about innovations and advancements
351
949000
2000
พูดเกี่ยวกับเรื่องนวัตกรรม ความก้าวหน้า
16:06
and improvements,
352
951000
2000
และความเจริญต่างๆ
16:08
but you know why we need all of those innovations
353
953000
3000
แต่คุณรู้หรือไม่ว่าทำไมเราต้องการนวัตกรรม
16:11
and advancements and improvements?
354
956000
2000
ความก้าวหน้าและความเจริญเหล่านั้น
16:13
Because half the stuff
355
958000
2000
เพราะกว่าครึ่งของเรื่องพวกนี้
16:15
that's the most mind-boggling and world-altering --
356
960000
3000
ทั้งเรื่องน่าเชื่อถือต่างๆ เรื่องความเปลี่ยนแปลงของโลก
16:18
TED 1998 --
357
963000
2000
TED 1998
16:20
eh.
358
965000
2000
เออ
16:22
(Laughter)
359
967000
4000
(หัวเราะ)
16:26
Didn't really work out that way, did it?
360
971000
2000
มันไม่ได้ผลใช่ไหมเนี่ย
16:28
(Laughter)
361
973000
2000
(หัวเราะ)
16:30
Where's my jet pack, Chris?
362
975000
3000
ตั๋วเครื่องบินฉันอยู่ไหนเนี่ยคริส
16:33
(Laughter)
363
978000
4000
(หัวเราะ)
16:37
(Applause)
364
982000
5000
(ปรบมือ)
16:42
So here we are again.
365
987000
3000
นี่ไง เอาอีกแล้ว
16:45
And that's how it goes.
366
990000
2000
มันมาอีกแล้ว
16:47
We come up with another idea.
367
992000
2000
เราได้ความคิดใหม่ๆ
16:49
We tell another story.
368
994000
3000
เราเล่าเรื่องราวอีกเรื่อง
16:52
We hold another conference.
369
997000
3000
เราสัมมนาอีกอัน
16:55
The theme of this one,
370
1000000
2000
แต่เนื้อเรื่องคือเรื่องนี้
16:57
as you guys have now heard seven million times,
371
1002000
2000
เหมือนกับที่พวกคุณฟังมาเป็นร้อยๆพันๆครั้ง
16:59
is the rediscovery of wonder.
372
1004000
2000
คือถูกค้นพบอีกครั้งจากความสงสัย
17:01
And to me,
373
1006000
2000
และสำหรับฉันแล้ว
17:03
if you really want to rediscover wonder,
374
1008000
3000
ถ้าคุณอยากค้นพบสิ่งเหล่านี้
17:06
you need to step outside
375
1011000
2000
คุณจะต้องคิดนอกกรอบ
17:08
of that tiny, terrified space of rightness
376
1013000
6000
ออกมาจากที่คับแคบแย่ๆแห่งความถูกต้องนั่น
17:14
and look around at each other
377
1019000
3000
มองดูรอบๆกันและกัน
17:17
and look out at the vastness
378
1022000
3000
มองไปยังที่โล่งกว้าง
17:20
and complexity and mystery
379
1025000
3000
ที่ที่สับสนและลึกลับ
17:23
of the universe
380
1028000
3000
ของจักรวาล
17:26
and be able to say,
381
1031000
3000
แล้วสามารถพูดได้ว่า
17:29
"Wow, I don't know.
382
1034000
4000
ว้าว ฉันไม่รู้เลย
17:33
Maybe I'm wrong."
383
1038000
2000
บางทีฉันคงผิด
17:35
Thank you.
384
1040000
2000
ขอบคุณค่ะ
17:37
(Applause)
385
1042000
3000
(ปรบมือ)
17:40
Thank you guys.
386
1045000
2000
ขอบคุณทุกคนนะคะ
17:42
(Applause)
387
1047000
3000
(ปรบมือ)
ABOUT THE SPEAKER
Kathryn Schulz - WrongologistKathryn Schulz is a staff writer for the New Yorker and is the author of "Being Wrong: Adventures in the Margin of Error."
Why you should listen
Kathryn Schulz is a journalist, author, and public speaker with a credible (if not necessarily enviable) claim to being the world's leading wrongologist. She is the author of Being Wrong: Adventures in the Margin of Error. She was previously the book critic for New York Magazine; her writing has also appeared in the New York Times Magazine, Rolling Stone, TIME Magazine, the Boston Globe, the "Freakonomics" blog of The New York Times, The Nation, Foreign Policy, and the New York Times Book Review, among other publications. She is the former editor of the online environmental magazine Grist, and a former reporter and editor for The Santiago Times, of Santiago, Chile, where she covered environmental, labor, and human rights issues. She was a 2004 recipient of the Pew Fellowship in International Journalism (now the International Reporting Project), and has reported from throughout Central and South America, Japan, and, most recently, the Middle East. A graduate of Brown University and a former Ohioan, Oregonian and Brooklynite, she currently lives in New York's Hudson Valley.
Kathryn Schulz | Speaker | TED.com