TEDSalon London Spring 2011
Honor Harger: A history of the universe in sound
ออเนอร์ ฮาร์เกอร์: ประวัติของเสียงในจัรวาล
Filmed:
Readability: 4.8
996,156 views
ออเนอร์ ฮาร์เกอร์ เกียรติยศศิลปินเทคโนโลยี-ฟังเสียงแปลกและมหัศจรรย์ของดาว ดาวเคราะห์ และพอลซ่า ในการทำงานของเธอ เธอติดตามคลื่นวิทยุที่ปล่อยออกมาจากดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์อายุมาก ๆ บนท้องฟ้า และเปลี่ยนไปเป็นเสียง รวมทั้ง "เพลงที่เก่าแก่ที่สุดที่คุณเคยจะได้ยิน" เสียงของรังสีคอสมิก ที่เหลือจากบิ๊กแบง
Honor Harger - Artist
Honor Harger explores the sounds of the sky, using art to connect her audience to the universe. Full bio
Honor Harger explores the sounds of the sky, using art to connect her audience to the universe. Full bio
Double-click the English transcript below to play the video.
00:21
Space,
0
6000
2000
อวกาศ...
00:23
we all know what it looks like.
1
8000
2000
เราต่างรู้ หน้าตามันเป็นอย่างไร
00:25
We've been surrounded by images of space
2
10000
2000
เราถูกห่อหุ้มไว้
00:27
our whole lives,
3
12000
2000
ด้วยภาพของอวกาศมาตลอดชีวิต
00:29
from the speculative images
4
14000
2000
จากภาพจินตนาการใน
00:31
of science fiction
5
16000
2000
นวนิยายวิทยาศาสตร์
00:33
to the inspirational visions of artists
6
18000
3000
สู่ภาพวาดที่ศิลปินสรรค์สร้าง
00:36
to the increasingly beautiful pictures
7
21000
3000
และในที่สุด จนมาเป็นภาพที่ยิ่งสวยงามมากขึ้น
00:39
made possible by complex technologies.
8
24000
3000
โดยการนำเทคโนโลยีที่ซับซ้อนเข้ามาช่วย
00:42
But whilst we have
9
27000
2000
แต่ในขณะที่เรามี
00:44
an overwhelmingly vivid
10
29000
2000
ความเข้าใจอย่างท่วมท้นและชัดเจน
00:46
visual understanding of space,
11
31000
2000
ในเรื่องของ ภาพของอวกาศ
00:48
we have no sense of what space sounds like.
12
33000
3000
เรากลับไม่เคยได้รับรู้เกี่ยวกับ เสียงของอวกาศเลย
00:51
And indeed, most people associate space with silence.
13
36000
4000
และที่จริงแล้ว
ความส่วนมากก็มักเชื่อมโยง อวกาศเข้ากับความเงียบด้วยซ้ำ
ความส่วนมากก็มักเชื่อมโยง อวกาศเข้ากับความเงียบด้วยซ้ำ
00:55
But the story of how
14
40000
2000
แต่สิ่งที่จะทำให้เรา
00:57
we came to understand the universe
15
42000
2000
เข้าใจความเป็นไปของจักรวาลได้นั้น
00:59
is just as much a story of listening
16
44000
2000
การฟังเสียงของมัน ก็มีความสำคัญ
01:01
as it is by looking.
17
46000
3000
พอๆ กับการมองดูมัน
01:04
And yet despite this,
18
49000
2000
และทั้งๆ ที่เป็นเช่นนี้
01:06
hardly any of us have ever heard space.
19
51000
3000
พวกเราก็แทบจะไม่เคยมีใครได้ยินเสียงอวกาศมาก่อน
01:09
How many of you here
20
54000
2000
ในที่นี้ จะมีกี่คน
01:11
could describe the sound
21
56000
2000
ที่สามารถเล่าเรื่องราว จากการฟังเสียง
01:13
of a single planet or star?
22
58000
2000
ของดาวเคราะห์ หรือดาวฤกษ์หนึ่ง ๆ ได้?
01:15
Well in case you've ever wondered,
23
60000
2000
เอาหล่ะ สำหรับบางคนที่สงสัย
01:17
this is what the Sun sounds like.
24
62000
2000
นี่คือเสียงของดวงอาทิตย์
01:19
(Static)
25
64000
14000
(เสียงไฟฟ้าสถิต)
01:33
(Crackling)
26
78000
4000
(เสียงแตก ๆ)
01:37
(Static)
27
82000
6000
(เสียงไฟฟ้าสถิต)
01:43
(Crackling)
28
88000
4000
(เสียงแตก ๆ)
01:47
This is the planet Jupiter.
29
92000
3000
นี่คือเสียงของดาวพฤหัสบดี
01:50
(Soft crackling)
30
95000
20000
(เสียงแตกเปราะๆแบบเบาๆ)
02:10
And this is the space probe Cassini
31
115000
3000
และนี่คือเสียงของยานอวกาศแคสนินี
02:13
pirouetting through the ice rings of Saturn.
32
118000
4000
ที่ถูกส่งออกไปเพื่อศึกษาดาวเสาร์
และวงแหวนที่เย็นเฉียบของมัน
และวงแหวนที่เย็นเฉียบของมัน
02:17
(Crackling)
33
122000
20000
(เสียงแตกๆ)
02:37
This is a a highly condensed clump
34
142000
3000
นี่คือเสียงของกลุ่มก๊าซที่มีความหนาแน่นสูง
02:40
of neutral matter,
35
145000
2000
ในขณะที่ยังมีสถานะเป็นกลาง
02:42
spinning in the distant universe.
36
147000
4000
กลุ่มก๊าซนี้หมุนรอบตัวเองอยู่ ในจัรวาลที่ห่างไกล
02:46
(Tapping)
37
151000
18000
(เสียงเคาะเบาๆ)
03:04
So my artistic practice
38
169000
2000
ดังนั้น งานศิลปะของฉัน
03:06
is all about listening
39
171000
2000
จะเกี่ยวกับการฟังเสียง
03:08
to the weird and wonderful noises
40
173000
3000
ที่ประหลาดแต่สวยงามเหล่านี้
03:11
emitted by the magnificent celestial objects
41
176000
3000
เสียงถูกปลดปล่อยมจากวัตถุท้องฟ้าอันอลังการ
03:14
that make up our universe.
42
179000
3000
ที่ประกอบกันเป็นจักรวาลของเรา
03:17
And you may wonder,
43
182000
2000
และคุณอาจสงสัยว่า
03:19
how do we know what these sounds are?
44
184000
2000
เราจะรู้ว่าเสียงพวกนี้ได้อย่างไร?
03:21
How can we tell the difference
45
186000
2000
เราจะสามารถบอกความแตกต่าง
03:23
between the sound of the Sun
46
188000
2000
ระหว่างเสียงของดวงอาทิตย์
03:25
and the sound of a pulsar?
47
190000
2000
และเสียงของพัลซาร์ ได้อย่างไร ?
03:27
Well the answer
48
192000
2000
เอาหล่ะค่ะ คำตอบก็คือ
03:29
is the science of radio astronomy.
49
194000
2000
ความรู้ทางดาราศาสตร์วิทยุ นั่นเอง
03:31
Radio astronomers
50
196000
2000
นักดาราศาสตร์วิทยุ
03:33
study radio waves from space
51
198000
2000
จะศึกษาคลื่นวิทยุที่แผ่มาจากอวกาศ
03:35
using sensitive antennas and receivers,
52
200000
3000
โดยการใช้ เสาอากาศและตัวรับสัญญาณ
03:38
which give them precise information
53
203000
2000
ที่จะแปลข้อมูลที่แม่นยำ
03:40
about what an astronomical object is
54
205000
3000
เกี่ยวกับชนิดของวัตถุนั้นว่าคืออะไร
03:43
and where it is in our night sky.
55
208000
2000
และตำแหน่งของมันว่าอยู่ตรงไหนบนท้องฟ้า
03:45
And just like the signals
56
210000
2000
และก็เหมือนกันกับกรณีของสัญญาณ
03:47
that we send and receive here on Earth,
57
212000
3000
ที่เราใช้สื่อสาร ทั้งส่งและรับ กันบนโลก
03:50
we can convert these transmissions into sound
58
215000
3000
โดยเราสามารถถ่ายทอดสัญญาณที่ได้รับ
ออกมาในรูปแบบของสัญญาณเสียง
ออกมาในรูปแบบของสัญญาณเสียง
03:53
using simple analog techniques.
59
218000
3000
โดยผ่านเทคนิคแอนะล็อก อย่างง่าย
03:56
And therefore, it's through listening
60
221000
3000
ดังนั้น จากการรับฟังเสียงนี้
03:59
that we've come to uncover
61
224000
2000
เราได้ค้นพบ
04:01
some of the universe's most important secrets --
62
226000
3000
ความลับที่สำคัญบางอย่างของจักรวาล
04:04
its scale, what it's made of
63
229000
3000
ได้แก่ ขนาดของมัน มันประกอบขึ้นมาจากอะไร
04:07
and even how old it is.
64
232000
2000
และแม้กระทั่ง มันอายุเท่าไร
04:09
So today, I'm going to tell you a short story
65
234000
3000
ดังนั้น ในวันนี้ ฉันจะเล่าให้คุณฟังถึง
04:12
of the history of the universe through listening.
66
237000
3000
ประวัติศาสตร์ของจักรวาล ผ่านการฟังเสียงของมัน แบบย่อๆ
04:15
It's punctuated
67
240000
2000
อาจแบ่งออกเป็น
04:17
by three quick anecdotes,
68
242000
2000
สามช่วงสั้นๆ
04:19
which show how accidental encounters
69
244000
2000
เรื่องเล่านี้จะช่วยอธิบายว่าโดยความบังเอิญ
04:21
with strange noises
70
246000
2000
การค้นพบเสียงประหลาดเหล่านี้
04:23
gave us some of the most important information
71
248000
3000
เสียงที่ได้ให้ความรู้ที่สำคัญ
04:26
we have about space.
72
251000
2000
เกี่ยวกับอวกาศให้กับเรา
04:28
Now this story doesn't start
73
253000
2000
แต่เรื่องนี้ไม่ได้ถูกค้นพบโดยผ่าน
04:30
with vast telescopes
74
255000
2000
กล้องโทรทรรศน์ขนาดมหึมา
04:32
or futuristic spacecraft,
75
257000
3000
หรือยานอวกาศล้ำยุคแต่อย่างใด
04:35
but a rather more humble technology --
76
260000
3000
แต่ถูกพบโดยผ่านเทคโนโลยีที่เรียบง่ายกว่านั้นมาก--
04:38
and in fact, the very medium
77
263000
2000
จริง ๆ แล้ว มันก็คือสื่อ
04:40
which gave us the telecommunications revolution
78
265000
3000
การปฏิวัติทางโทรคมนาคม
04:43
that we're all part of today:
79
268000
2000
ที่เราทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของมันในวันนี้
04:45
the telephone.
80
270000
2000
-- มันคือ โทรศัพท์
04:47
It's 1876, it's in Boston,
81
272000
3000
ในปีค.ศ. 1876 ณ เมืองบอสตัน
04:50
and this is Alexander Graham Bell
82
275000
2000
นี่คือ อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์
04:52
who was working with Thomas Watson
83
277000
2000
ที่ขณะนั้น ทำงานร่วมกันกับ โธมัส วัทสัน
04:54
on the invention of the telephone.
84
279000
3000
เพื่อที่จะคิดค้นประดิษฐ์โทรศัพท์ขึ้น
04:57
A key part of their technical set up
85
282000
3000
หัวใจของสิ่งประดิษฐ์ของพวกเขา
05:00
was a half-mile long length of wire,
86
285000
2000
คือ สายไฟยาวครึ่งไมล์
05:02
which was thrown across the rooftops
87
287000
2000
ที่วางพาดผ่านหลังคาบ้าน
05:04
of several houses in Boston.
88
289000
3000
หลายหลังในเมืองบอสตัน
05:07
The line carried the telephone signals
89
292000
3000
สายไฟนี้ ภายในบรรจุสัญญาณโทรศัพท์
05:10
that would later make Bell a household name.
90
295000
3000
ที่ต่อมาจะทำให้ชื่อเบลล์กลายเป็นชื่อเรียกเครื่องใช้ในบ้านไป
05:13
But like any long length of charged wire,
91
298000
3000
และเป็นธรรมดาที่ สายไฟยาวภายในมีประจุไฟฟ้า
05:16
it also inadvertently became
92
301000
2000
จากไม่ได้ตั้งใจกลายเป็น
05:18
an antenna.
93
303000
2000
เสาอากาศได้ โดยไม่เจตนา
05:20
Thomas Watson
94
305000
2000
ดังนั้น โธมัส วัทสัน
05:22
spent hours listening
95
307000
2000
จึงใช้เวลาหลายชั่วโมง
05:24
to the strange crackles and hisses
96
309000
2000
ฟังเสียงประหลาด ที่มีลักษณะแตก ๆ
05:26
and chirps and whistles
97
311000
3000
เสียงร้องเจี๋ยบ ๆ และเสียงหวีดหวิว
05:29
that his accidental antenna detected.
98
314000
3000
ที่เสาอากาศของเราจับได้
05:32
Now you have to remember,
99
317000
2000
ขอให้จำไว้เสมอว่า
05:34
this is 10 years before
100
319000
2000
นั้นคือ 10 ปี ก่อนที่
05:36
Heinrich Hertz proved the existence of radio waves --
101
321000
4000
ไฮนริค เฮิร์ซ จะพิสูจน์ว่า คลื่นวิทยุ มีอยู่จริง
05:40
15 years before Nikola Tesla's four-tuned circuit --
102
325000
3000
นั่นคือ 15 ปี ก่อนที่ นิโคลา เทสลา
จะสร้างวงจรแบบสี่ขั้ว สำเร็จ
จะสร้างวงจรแบบสี่ขั้ว สำเร็จ
05:43
nearly 20 years before Marconi's first broadcast.
103
328000
4000
และเกือบจะ 20 ปี ก่อนที่บริษัทมาร์โคนี
จะการทำการออกอากาศทางวิทยุเป็นครั้งแรก
จะการทำการออกอากาศทางวิทยุเป็นครั้งแรก
05:47
So Thomas Watson wasn't listening to us.
104
332000
3000
นั่นคือ โธมัส วัทสัน ไม่ได้กำลังฟังเสียงของพวกเรากันเองอยู่
05:50
We didn't have the technology
105
335000
2000
เพราะเรายังไม่มีเทคโนโลยี
05:52
to transmit.
106
337000
2000
ในการถ่ายทอดสัญญาณเหล่านั้น
05:54
So what were these strange noises?
107
339000
3000
แล้วเสียงประหลาดพวกนี้คืออะไรกัน?
05:58
Watson was in fact listening
108
343000
2000
วัทสัน กำลังฟังเสียงของ
06:00
to very low-frequency radio emissions
109
345000
2000
คลื่นวิทยุที่มีความถี่ต่ำ
06:02
caused by nature.
110
347000
2000
ที่กำเนิดโดยธรรมชาติ
06:04
Some of the crackles and pops were lightning,
111
349000
3000
บางส่วนของเสียงแตกๆ และเสียงดังเปาะ ๆ คือเสียงของฟ้าผ่า
06:07
but the eerie whistles
112
352000
3000
แต่เสียงหวีดหวิวอันลึกลับ
06:10
and curiously melodious chirps
113
355000
3000
และเสียงเพราะแปลกดัง เจี๊ยบ ๆ
06:13
had a rather more exotic origin.
114
358000
3000
กลับมีจุดกำเนิดที่ผิดธรรมดากว่านั้น
06:16
Using the very first telephone,
115
361000
2000
การการใช้โทรศัพท์เครื่องแรกที่พวกเขาประดิษฐ์ขึ้น
06:18
Watson was in fact
116
363000
2000
ในความเป็นจริง วัตสัน
06:20
dialed into the heavens.
117
365000
2000
ได้โทรไปถึงสวรรค์แล้ว
06:22
As he correctly guessed,
118
367000
2000
เขาได้เดาถูกในบางประการ
06:24
some of these sounds were caused
119
369000
2000
ว่าเสียงเหล่านี้มีต้นกำเนิดจาก
06:26
by activity on the surface of the Sun.
120
371000
3000
ปฏิกิริยาบนพื้นผิวของดวงอาทิตย์
06:29
It was a solar wind
121
374000
2000
ซึ่งแท้จริงแล้ว มันคือเสียงของลมสุริยะ
06:31
interacting with our ionosphere
122
376000
2000
ที่ทำปฏิกิริยากับบรรยากาศโลกชั้นไอโอโนสเฟียร์
06:33
that he was listening to --
123
378000
2000
นั่นคือสิ่งที่เขาได้ยินขณะนั้น --
06:35
a phenomena which we can see
124
380000
2000
ปรากฏการณ์ที่เรามองเห็นได้
06:37
at the extreme northern and southern latitudes of our planet
125
382000
3000
ที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ บนโลกเรา
06:40
as the aurora.
126
385000
2000
ที่เรียกว่าแสงเงินแสงทอง
06:42
So whilst inventing the technology
127
387000
3000
ดังนั้น ขณะที่พวกเขากำลังสร้างสรรค์เทคโนโลยี
06:45
that would usher in the telecommunications revolution,
128
390000
4000
ที่ได้นำพาเรามาสู่การปฏิวัติทางโทรคมนาคม อยู่นั้น
06:49
Watson had discovered
129
394000
2000
วัทสันก็ได้ค้นพบว่า
06:51
that the star at the center of our solar system
130
396000
3000
ดาวฤกษ์ที่อยู่ ณ ใจกลางระบบสุริยะของเรา
06:54
emitted powerful radio waves.
131
399000
3000
มีการแผ่คลื่นวิทยุที่ทรงพลังออกมาด้วย
06:57
He had accidentally been the first person
132
402000
3000
เขาได้กลายเป็นคนแรก
07:00
to tune in to them.
133
405000
2000
ที่ค้นพบมันได้โดยบังเอิญ
07:02
Fast-forward 50 years,
134
407000
2000
หลังจากนั้นอีก 50 ปี
07:04
and Bell and Watson's technology
135
409000
3000
เมื่อบริษัทของเบลล์และวัทสัน
07:07
has completely transformed
136
412000
2000
ได้ทำการแปลงรูป
07:09
global communications.
137
414000
2000
โทรคมนาคมของโลกได้สำเร็จ
07:11
But going from slinging some wire
138
416000
2000
จากการคล้องสายไฟยาว
07:13
across rooftops in Boston
139
418000
2000
ข้ามหลังคาบ้านผู้คนในเมืองบอสตัน
07:15
to laying thousands and thousands of miles of cable
140
420000
3000
สู่การวางระบบสาวเคเบิลเป็นระยะทางพัน ๆ ไมล์
07:18
on the Atlantic Ocean seabed
141
423000
2000
ลอดได้พื้นมหาสมุทรแอตแลนติค
07:20
is no easy matter.
142
425000
2000
ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
07:22
And so before long,
143
427000
2000
และไม่ช้าหลังจากนั้น
07:24
Bell were looking to new technologies
144
429000
2000
เบลล์ก็มองหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ
07:26
to optimize their revolution.
145
431000
3000
ที่จะทำให้ประสิทธิภาพของการเปลี่ยนแปลง
07:29
Radio could carry sound without wires.
146
434000
3000
คลื่นวิทยุสามารถพาสัญญาณเสียงไปกับตัวมันได้
โดยไม่ต้องใช้สายไฟ
โดยไม่ต้องใช้สายไฟ
07:32
But the medium is lossy --
147
437000
2000
แต่คลื่นวิทยุ มีข้อเสียคือสามารถเพี้ยนไปได้
07:34
it's subject to a lot of noise and interference.
148
439000
4000
เพราะมีสัญญาณรบกวนและสิ่งอื่นเข้าแทรกแซง
07:38
So Bell employed an engineer
149
443000
2000
ดังนั้น เบลล์จึงจ้างวิศวกรผู้หนึ่ง
07:40
to study those noises,
150
445000
2000
เพื่อให้ศึกษาที่มาของสัญญาณรบกวน
07:42
to try and find out where they came from,
151
447000
2000
เพื่อที่จะพยายามหาว่ามันมาจากไหน
07:44
with a view towards building
152
449000
2000
พร้อมกับความคิดที่จะสร้าง
07:46
the perfect hardware codec, which would get rid of them
153
451000
3000
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่จะถอดรหัส
และขจัดสัญญาณรบกวนเหล่านั้นออกไป
และขจัดสัญญาณรบกวนเหล่านั้นออกไป
07:49
so they could think about using radio
154
454000
2000
ดังนั้น พวกเขาจึงคิดที่จะใช้คลื่นวิทยุ
07:51
for the purposes of telephony.
155
456000
3000
ในการวางระบบโทรศัพท์
07:54
Most of the noises
156
459000
2000
สัญญาณรบกวนส่วนใหญ่
07:56
that the engineer, Karl Jansky, investigated
157
461000
3000
ที่วิศวกร คาร์ล แจงสกี หาสาเหตุอยู่
07:59
were fairly prosaic in origin.
158
464000
2000
ค่อนข้างมีต้นกำเหนิดที่ธรรมดา ๆ
08:01
They turned out to be lightning
159
466000
2000
นั่นก็คือ ฟ้าผ่า
08:03
or sources of electrical power.
160
468000
3000
หรือไม่ ก็เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานไฟฟ้าสักอย่าง
08:06
But there was one persistent noise
161
471000
3000
แต่ส่วนน้อยของสัญญาณรบกวนนั้น
08:09
that Jansky couldn't identify,
162
474000
2000
ที่แจนสกี ไม่สามารถระบุ ที่มาที่ไปได้
08:11
and it seemed to appear
163
476000
2000
และสัญญาณนี้ยังรับฟังได้
08:13
in his radio headset
164
478000
2000
ผ่านหูฟังของเขา
08:15
four minutes earlier each day.
165
480000
3000
เป็นเวลาสี่นาทีก่อนหน้านั้นเสมอ ในทุก ๆ วัน
08:18
Now any astronomer will tell you,
166
483000
2000
ปัจจุบันนี้ นักดาราศาสตร์จะบอกคุณได้ว่า
08:20
this is the telltale sign
167
485000
2000
นี่คือสัญญาณที่จะเผยความลับ
08:22
of something that doesn't originate from Earth.
168
487000
3000
ของบางสิ่งที่ไม่ได้กำเนิดมาจากโลก
08:25
Jansky had made a historic discovery,
169
490000
4000
แจนสกีได้ทำการค้นพบแห่งประวัติศาสตร์เข้าให้แล้ว
08:29
that celestial objects could emit radio waves
170
494000
3000
ว่าวัตถุท้องฟ้าสามารถแผ่คลื่นวิทยุได้
08:32
as well as light waves.
171
497000
2000
พอ ๆ กับที่มันแผ่คลื่นแสงได้
08:34
Fifty years on
172
499000
2000
หลังจากห้าสิบปี
08:36
from Watson's accidental encounter with the Sun,
173
501000
3000
วัทสันพบโดยบังเอิญ ว่าดวงอาทิตย์ก็เกิดทำเสียงสิ่งเดียวกันนี้
08:39
Jansky's careful listening
174
504000
2000
การฟังเสียงอย่างระมัดระวังของแจนสกี
08:41
ushered in a new age of space exploration:
175
506000
3000
ได้นำไปสู่ยุคใหม่ของการสำรวจอวกาศ:
08:44
the radio astronomy age.
176
509000
2000
ยุคของดาราศาสตร์วิทยุ
08:46
Over the next few years,
177
511000
2000
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปี
08:48
astronomers connected up their antennas to loudspeakers
178
513000
4000
นักดาราศาสตร์ต่างติดตั้งเสาอากาศ
เข้ากับเครื่องกระจายเสียง
เข้ากับเครื่องกระจายเสียง
08:52
and learned about our radio sky,
179
517000
2000
และเรียนรู้เกี่ยวกับท้องฟ้าแห่งคลื่นวิทยุผืนนี้
08:54
about Jupiter and the Sun,
180
519000
2000
เกี่ยวกับ ดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์
08:56
by listening.
181
521000
2000
ด้วยการฟังเสียง
08:58
Let's jump ahead again.
182
523000
2000
เรามาก้าวกระโดดอีกครั้ง
09:00
It's 1964,
183
525000
2000
สู่ปี ค.ศ. 1964
09:02
and we're back at Bell Labs.
184
527000
2000
และเรากำลังอยู่ในห้องแลปของเบลล์
09:04
And once again,
185
529000
2000
แล้วก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง
09:06
two scientists have got a problem with noise.
186
531000
3000
ที่นักวิทยาศาสตร์สองคน พบปัญหาเกี่ยวกับเสียงรบกวน
09:09
Arno Penzias and Robert Wilson
187
534000
3000
อาร์โน เพนเซียส
และโรเบิร์ต วิลสัน
และโรเบิร์ต วิลสัน
09:12
were using the horn antenna
188
537000
2000
ที่กำลังใช้เสาอากาศปล่องรับเสียง
09:14
at Bell's Holmdel laboratory
189
539000
2000
อยู่ที่ห้องแล็ปของเบลล์ในเมืองโฮล์มเดล
09:16
to study the Milky Way
190
541000
2000
เพื่อศึกษาทางช้างเผือก
09:18
with extraordinary precision.
191
543000
2000
ด้วยความแม่นยำที่สูงมาก
09:20
They were really listening
192
545000
2000
พวกเขาได้ฟังเสียงจากกาแล็กซี
09:22
to the galaxy in high fidelity.
193
547000
2000
ผ่านระบบการรับส่งสัญญาณที่ชัดและมีเสียงรบกวนน้อย
09:24
There was a glitch in their soundtrack.
194
549000
3000
แม้กระนั้น ก็ยังมีเสียงแทรกอยู่เสมอ
09:27
A mysterious persistent noise
195
552000
3000
เป็นเสียงรบกวนที่มีอยู่เสมอมา
09:30
was disrupting their research.
196
555000
2000
มันเข้าแทรกแซงงานวิจัยของพวกเขา
09:32
It was in the microwave range,
197
557000
2000
มันเป็นพลังงานในช่วงคลื่นไมโครเวฟ
09:34
and it appeared to be coming
198
559000
2000
และดูเหมือนจะพุ่งมาจากทุกทิศทาง
09:36
from all directions simultaneously.
199
561000
2000
อย่างพร้อมเพรียงกัน
09:38
Now this didn't make any sense,
200
563000
2000
นี่มันดูไม่มีเหตุผลเลย
09:40
and like any reasonable engineer or scientist,
201
565000
3000
และเช่นเดียวกันกับ วิศวกรหรือนักวิทยาศาสตร์
ผู้ยึดถือหลักแห่งเหตุผลคนอื่นๆ
ผู้ยึดถือหลักแห่งเหตุผลคนอื่นๆ
09:43
they assumed that the problem must be the technology itself,
202
568000
3000
พวกเขาจึงคิดว่าสัญญาณรบกวนนี้
มันจะเกิดจากเทคโนโลยีที่ทำขึ้น
มันจะเกิดจากเทคโนโลยีที่ทำขึ้น
09:46
it must be the dish.
203
571000
2000
มันน่าจะเกิดจากจานรับสัญญาณรึเปล่า
09:48
There were pigeons roosting in the dish.
204
573000
3000
เพราะมีนกพิราบทำรังอยู่บนจาน
09:51
And so perhaps once they cleaned up the pigeon droppings,
205
576000
3000
เมื่อทำความสะอาดจานเอารังนกออกไป
09:54
get the disk kind of operational again,
206
579000
2000
และเริ่มการทดลองอีกครั้ง
09:56
normal operations would resume.
207
581000
3000
ผลคงจะดีขึ้น
09:59
But the noise didn't disappear.
208
584000
3000
แต่ปรากฎว่าเสียงรบกวนนั้น ก็ยังไม่หายไปไหน
10:02
The mysterious noise
209
587000
2000
เสียงลึกลับนี้
10:04
that Penzias and Wilson were listening to
210
589000
3000
ที่เพนเซียสและวิลสันกำลังฟังอยู่นั้น
10:07
turned out to be the oldest and most significant sound
211
592000
3000
กลับกลายเป็นเสียงที่เก่าแก่ที่สุดและมีความหมายที่สุด
10:10
that anyone had ever heard.
212
595000
2000
เท่าที่มนุษย์เคยได้ยินมา
10:12
It was cosmic radiation
213
597000
2000
มันคือเสียงของการแผ่รังสีคอสมิก
10:14
left over from the very birth of the universe.
214
599000
4000
ที่หลงเหลือทิ้งไว้ เมื่อครั้งจักรวาลถือกำเนิด
10:18
This was the first experimental evidence
215
603000
3000
นี่คือการทดลองครั้งแรก
10:21
that the Big Bang existed
216
606000
2000
ที่พิสูจน์ได้ว่าการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่
หรือบิ๊กแบง เคยเกิดจริง
หรือบิ๊กแบง เคยเกิดจริง
10:23
and the universe was born at a precise moment
217
608000
3000
และจักรวาลได้เกิดขั้น ณ ขณะเวลาหนึ่ง
10:26
some 14.7 billion years ago.
218
611000
4000
ใน 14.7 พันล้านปีก่อน
10:31
So our story ends
219
616000
2000
นั่นคือ เรื่องเล่าของเราวันนี้จบลง
10:33
at the beginning --
220
618000
2000
ณ จุดเริ่มต้น--
10:35
the beginning of all things, the Big Bang.
221
620000
3000
จุดเริ่มต้นของทุก ๆ สิ่ง -- บิ๊กแบง
10:38
This is the noise that Penzias and Wilson heard --
222
623000
3000
นี่คือเสียงที่เพนเซียส และวิลสันได้ยิน
10:41
the oldest sound that you're ever going to hear,
223
626000
3000
เสียงที่เก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์จะได้ยิน
10:44
the cosmic microwave background radiation
224
629000
3000
เสียงของ การแผ่รังสีคอสมิคไมโครเวฟพื้นหลัง
10:47
left over from the Big Bang.
225
632000
2000
ที่หลงเหลือไว้หลังจากบิ๊กแบง
10:49
(Fuzz)
226
634000
15000
(เสียงซ่าสั่นที่คงเส้นคงวา)
11:04
Thanks.
227
649000
2000
ขอบคุณค่ะ
11:06
(Applause)
228
651000
4000
(ปรบมือ)
ABOUT THE SPEAKER
Honor Harger - ArtistHonor Harger explores the sounds of the sky, using art to connect her audience to the universe.
Why you should listen
Honor Harger is a New Zealand-born artist and curator who has a particular interest in artistic uses of technologies. She's the director of Lighthouse, an arts agency in Brighton, UK. Her artistic practice is produced under the name r a d i o q u a l i a together with collaborator Adam Hyde. One of their main projects is Radio Astronomy , a radio station broadcasting sounds from space.
From a great interview with Harger from Lift '11:
What does it mean to listen to space?
Whilst our project uses what we describe as "sounds from space", it is important to understand that stars and planets are not directly audible. Sound waves can not propagate in the vacuum of space. However, it is possible for radio waves emitted from celestial bodies, such as Jupiter and the Sun, to be heard by using radio technology. In our galaxy, the Sun is the strongest source of radio waves - so it's the most powerful transmitter in the radio sky. Jupiter also sends us strong radio signals.
What we hear is very curiously linked with our experience of radio here on earth -- the sounds are a bit like the sound of static between the stations.
Photo: Matt Locke / Flickr CC
Honor Harger | Speaker | TED.com