TED2004
Martin Seligman: The new era of positive psychology
มาร์ติน เซลิกแมน ว่าด้วยจิตวิทยาเชิงบวก
Filmed:
Readability: 4.2
5,504,461 views
มาร์ติน เซลิกแมน ได้พูดถึงจิตวิทยาในฐานะสาขาวิชาและศาสตร์ที่นักวิชาชีพใช้ในการรักษาผู้ป่วยทางจิต ขณะที่ศาสตร์จิตวิทยากำลังจะก้าวข้ามโมเดลที่มุ่งสนใจแต่โรคและอาการป่วยทางจิต จิตวิทยาสมัยใหม่จะช่วยพัฒนามนุษย์อย่างพวกเราไปในทิศทางไหนได้บ้าง?
Martin Seligman - Psychologist
Martin Seligman is the founder of positive psychology, a field of study that examines healthy states, such as happiness, strength of character and optimism. Full bio
Martin Seligman is the founder of positive psychology, a field of study that examines healthy states, such as happiness, strength of character and optimism. Full bio
Double-click the English transcript below to play the video.
00:12
When I was president of the American Psychological Association,
0
0
3000
เมื่อสมัยที่ผมเป็นประธานสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน
00:15
they tried to media-train me,
1
3000
2000
เขาพยายามฝึกให้ผมออกสื่อ
00:17
and an encounter I had with CNN
2
5000
4000
ทีนี้ มันมีการให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่งของผมกับซีเอ็นเอ็น
00:21
summarizes what I'm going to be talking about today,
3
9000
3000
ซึ่งสรุปเรื่องที่ผมกำลังจะพูดวันนี้ได้ดีทีเดียว
00:24
which is the eleventh reason to be optimistic.
4
12000
4000
นั่นคือ "เหตุผลข้อ 11 ที่เราควรมองโลกแง่ดี"
00:28
The editor of Discover told us 10 of them,
5
16000
5000
บรรณาธิการนิตยสารดิสคัพเวอร์บอกเรามาแล้ว 10 ข้อ
00:34
I'm going to give you the eleventh.
6
22000
2000
ผมจะบอกข้อที่ 11 ให้
00:36
So they came to me -- CNN -- and they said, "Professor Seligman,
7
24000
4000
ตอนนั้นพิธีกรของซีเอ็นเอ็นมาหาผมแล้วบอกว่า "ศาสตราจารย์เซลิกแมนคะ
00:40
would you tell us about the state of psychology today?
8
28000
5000
อาจารย์เล่าให้เราฟังหน่อยได้ไหมคะว่าศาสตร์จิตวิทยาทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง?
00:45
We'd like to interview you about that." And I said, "Great."
9
33000
3000
เราอยากสัมภาษณ์อาจารย์เกี่ยวกับเรื่องนี้" ผมบอกว่า "ดีเลยครับ"
00:48
And she said, "But this is CNN, so you only get a sound bite."
10
36000
5000
แล้วเธอก็บอกว่า "แต่นี่เป็นรายการของ CNN เราจะตัดคำพูดอาจารย์ไปออกสั้นๆ นะคะ"
00:53
So I said, "Well, how many words do I get?"
11
41000
3000
ผมเลยถามว่า "แล้วผมพูดได้กี่คำล่ะ?"
00:56
And she said, "Well, one."
12
44000
2000
เธอตอบว่า "คำเดียวค่ะ"
00:58
(Laughter)
13
46000
1000
(เสียงหัวเราะ)
00:59
And cameras rolled, and she said, "Professor Seligman,
14
47000
4000
แล้วกล้องก็เดิน แล้วเธอก็ถามว่า "ศาสตราจารย์เซลิกแมนคะ
01:03
what is the state of psychology today?"
15
51000
4000
สถานะของศาสตร์จิตวิทยาทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ?
01:07
"Good."
16
55000
2000
"ดี"
01:09
(Laughter)
17
57000
2000
(เสียงหัวเราะ)
01:11
"Cut. Cut. That won't do.
18
59000
3000
"ตัดออกๆ ใช้ไม่ได้
01:14
We'd really better give you a longer sound bite."
19
62000
4000
เราคงต้องให้เวลาอาจารย์ยาวขึ้นนะ"
01:18
"Well, how many words do I get this time?" "I think, well, you get two.
20
66000
4000
"แล้วคราวนี้ผมพูดได้กี่คำล่ะ?" "สองคำค่ะ"
01:22
Doctor Seligman, what is the state of psychology today?"
21
70000
6000
ด็อกเตอร์เซลิกแมนคะ สถานะของศาสตร์จิตวิทยาทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ?
01:28
"Not good."
22
76000
2000
"ไม่ดี"
01:30
(Laughter)
23
78000
9000
(เสียงหัวเราะ)
01:39
"Look, Doctor Seligman,
24
87000
2000
"เอ่อ ด็อกเตอร์เซลิกแมนคะ
01:41
we can see you're really not comfortable in this medium.
25
89000
3000
เราเข้าใจแล้วค่ะ ว่าอาจารย์ไม่ค่อยถนัดกับสื่อรูปแบบนี้จริงๆ
01:44
We'd better give you a real sound bite.
26
92000
3000
เราให้เวลาอาจารย์มากขึ้นแล้วกัน
01:47
This time you can have three words.
27
95000
3000
คราวนี้อาจารย์พูดได้สามคำค่ะ
01:50
Professor Seligman, what is the state of psychology today?"
28
98000
5000
ศาสตราจารย์เซลิกแมนคะ สถานะของศาสตร์จิตวิทยาทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ?
01:55
"Not good enough." And that's what I'm going to be talking about.
29
103000
5000
"ไม่ดีพอ" และนี่คือสิ่งที่ผมกำลังจะพูดวันนี้
02:00
I want to say why psychology was good, why it was not good
30
108000
4000
ผมอยากพูดว่าทำไมจิตวิทยาจึงดี ทำไมมันจึงไม่ดี
02:04
and how it may become, in the next 10 years, good enough.
31
112000
4000
แล้วภายในสิบปีข้างหน้า มันจะดีพอได้อย่างไร
02:08
And by parallel summary, I want to say the same thing about technology,
32
116000
5000
และด้วยบทสรุปที่คล้ายกัน ผมอยากพูดแบบเดียวกันเกี่ยวกับเทคโนโลยี
02:13
about entertainment and design, because I think the issues are very similar.
33
121000
4000
วงการบันเทิง และการออกแบบ เพราะผมคิดว่าประเด็นมันเหมือนกันมาก
02:17
So, why was psychology good?
34
125000
3000
เอาล่ะ ทำไมสถานะของจิตวิทยาถึงดี
02:20
Well, for more than 60 years, psychology worked within the disease model.
35
128000
5000
คือ จิตวิทยาศึกษาวิจัยมนุษย์ภายใต้โมเดลของโรคมามากกว่าหกสิบปี
02:25
Ten years ago, when I was on an airplane
36
133000
2000
สิบปีที่แล้ว เวลาผมอยู่บนเครื่องบิน
02:27
and I introduced myself to my seatmate, and told them what I did,
37
135000
4000
แล้วแนะนำตัวกับคนที่นั่งข้างๆ บอกเขาว่าผมมีอาชีพอะไร
02:31
they'd move away from me.
38
139000
2000
เขาจะย้ายที่หนีผมเลยครับ
02:33
And because, quite rightly, they were saying
39
141000
3000
เพราะว่าคนเขาพูดกัน ซึ่งก็ถูกนะครับ
02:36
psychology is about finding what's wrong with you. Spot the loony.
40
144000
4000
ว่าจิตวิทยาคือการค้นหาว่าคุณผิดปกติยังไง คือ "ค้นหาคนบ้า" ว่างั้นเถอะ
02:40
And now, when I tell people what I do, they move toward me.
41
148000
5000
แต่เดี๋ยวนี้ เวลาผมบอกใครว่าผมทำงานอะไร เขาจะขยับเข้ามาหาผม
02:45
And what was good about psychology,
42
153000
3000
อีกอย่างที่ดีเกี่ยวกับจิตวิทยา
02:48
about the 30 billion dollar investment NIMH made,
43
156000
4000
กับเงินสามหมื่นล้านดอลล่าร์ที่สถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ (NIMH)
02:52
about working in the disease model,
44
160000
2000
ลงทุนไปกับการศึกษาวิจัยภายใต้โมเดลของโรค
02:54
about what you mean by psychology,
45
162000
2000
กับสิ่งที่คุณเรียกกันว่าศาสตร์จิตวิทยาเนี่ย
02:56
is that, 60 years ago, none of the disorders were treatable --
46
164000
5000
ก็คือ 60 ปีที่แล้ว ไม่มีโรคทางจิตประเภทใดเลยที่รักษาได้
03:01
it was entirely smoke and mirrors.
47
169000
2000
มันเหมือนปริศนาของมายากลที่ไม่มีใครเข้าใจเลย
03:03
And now, 14 of the disorders are treatable,
48
171000
2000
แต่ตอนนี้ มี 14 โรคที่รักษาให้ดีขึ้นได้
03:05
two of them actually curable.
49
173000
2000
ซึ่ง 2 โรคในนั้นรักษาให้หายขาดได้
03:07
And the other thing that happened is that a science developed,
50
175000
5000
และอีกอย่างที่เกิดขึ้นก็คือ ศาสตร์นี้ก้าวหน้าไปมาก
03:12
a science of mental illness.
51
180000
2000
ศาสตร์เกี่ยวกับความผิดปกติทางจิตน่ะครับ
03:14
That we found out that we could take fuzzy concepts -- like depression, alcoholism --
52
182000
8000
เราพบว่า เราสามารถหยิบมโนทัศน์ที่จับต้องไม่ได้ เช่น ภาวะซึมเศร้า การติดเหล้า
03:22
and measure them with rigor.
53
190000
2000
เอามาวัดได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
03:24
That we could create a classification of the mental illnesses.
54
192000
4000
และเราก็สามารถจำแนกแยกแยะและจัดหมวดหมู่อาการป่วยทางจิต
03:28
That we could understand the causality of the mental illnesses.
55
196000
5000
เราสามารถเข้าใจสาเหตุของอาการป่วยทางจิต
03:33
We could look across time at the same people --
56
201000
4000
เราสามารถศึกษาคนคนเดียวกันข้ามช่วงเวลา
03:37
people, for example, who were genetically vulnerable to schizophrenia --
57
205000
4000
เช่น คนที่มีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่เสี่ยงจะเป็นโรคจิตเภท
03:41
and ask what the contribution of mothering, of genetics are,
58
209000
4000
แล้วตั้งคำถามว่าการเลี้ยงดูกับพันธุกรรมมีผลมากน้อยแค่ไหน
03:45
and we could isolate third variables
59
213000
3000
เราสามารถควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้
03:48
by doing experiments on the mental illnesses.
60
216000
3000
โดยศึกษาอาการป่วยทางจิตด้วยวิธีการทดลอง
03:51
And best of all, we were able, in the last 50 years,
61
219000
4000
และที่เยี่ยมที่สุด คือ ในห้าสิบปีที่ผ่านมา
03:55
to invent drug treatments and psychological treatments.
62
223000
4000
เราสามารถคิดค้นสร้างยาและวิธีการรักษาอาการป่วยทางจิต
03:59
And then we were able to test them rigorously,
63
227000
4000
และเราก็สามารถทดสอบมันได้อย่างเที่ยงตรง
04:03
in random assignment, placebo controlled designs,
64
231000
3000
ด้วยการทดลองที่มีการสุ่มเข้ากลุ่มและมีกลุ่มเปรียบเทียบที่ได้ยาหลอก
04:06
throw out the things that didn't work, keep the things that actively did.
65
234000
4000
อะไรที่ไม่ได้ผลก็ทิ้งไป อะไรที่ได้ผลดีก็เก็บไว้
04:10
And the conclusion of that is that psychology and psychiatry, over the last 60 years,
66
238000
7000
และข้อสรุปก็คือ ศาสตร์จิตวิทยาและจิตเวชในหกสิบปีที่ผ่านมา
04:17
can actually claim that we can make miserable people less miserable.
67
245000
6000
สามารถประกาศได้ว่าเราทำให้คนที่ทุกข์เพราะเจ็บป่วยเขาทุกข์น้อยลง
04:23
And I think that's terrific. I'm proud of it.
68
251000
5000
และผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ผมภูมิใจมาก
04:30
But what was not good, the consequences of that were three things.
69
258000
5000
แต่สิ่งที่ไม่ดี ซึ่งเป็นผลจากเรื่องที่ผมเพิ่งพูดไป มีอยู่สามอย่าง
04:35
The first was moral,
70
263000
2000
อันดับแรกเลยคือเรื่องคุณธรรม
04:37
that psychologists and psychiatrists became victimologists, pathologizers,
71
265000
4000
นักจิตวิทยาและจิตแพทย์กลายเป็นผู้ศึกษาเรื่องเหยื่อที่ทำให้คนอื่นกลายเป็นเหยื่อ หรือผู้ตัดสินว่าใครเจ็บป่วย
04:41
that our view of human nature was that if you were in trouble, bricks fell on you.
72
269000
5000
มุมมองของเราต่อธรรมชาติของมนุษย์กลายเป็นว่า ถ้าคุณมีปัญหา แปลว่าคุณโชคร้าย
04:46
And we forgot that people made choices and decisions.
73
274000
3000
เราลืมไปว่าคนเราเลือกและตัดสินใจนะครับ
04:49
We forgot responsibility. That was the first cost.
74
277000
4000
เราลืมความรับผิดชอบของมนุษย์ไป นั่นเป็นปัญหาข้อแรก
04:53
The second cost was that we forgot about you people.
75
281000
4000
ปัญหาข้อที่สองคือ เราลืมผู้คนอย่างพวกคุณไปเลย
04:57
We forgot about improving normal lives.
76
285000
4000
เราลืมเรื่องการยกระดับชีวิตของคนปกติ
05:01
We forgot about a mission to make relatively untroubled people happier,
77
289000
6000
เราลืมภารกิจในการทำให้คนที่ไม่ได้มีปัญหาเขามีความสุขมากขึ้น
05:07
more fulfilled, more productive. And "genius," "high-talent," became a dirty word.
78
295000
6000
มีชิวิตที่เติมเต็ม และเป็นประโยชน์มากขึ้น แล้วคำว่า"อัจฉริยะ" "พรสวรรค์" กลายเป็นคำหยาบ
05:13
No one works on that.
79
301000
2000
ไม่มีใครศึกษาเรื่องพวกนี้
05:15
And the third problem about the disease model is,
80
303000
4000
และปัญหาข้อที่สามของจิตวิทยาภายใต้โมเดลของโรคคือ
05:19
in our rush to do something about people in trouble,
81
307000
3000
เมื่อเรารีบเร่งที่จะทำอะไรสักอย่างกับคนที่มีปัญหา
05:22
in our rush to do something about repairing damage,
82
310000
5000
ในความรีบเร่งที่จะซ่อมแซมความเสียหายนั้น
05:27
it never occurred to us to develop interventions
83
315000
3000
เราไม่เคยคิดจะสร้างระบบหรือวิธีการอะไร
05:30
to make people happier, positive interventions.
84
318000
4000
ที่จะทำให้คนมีความสุขมากขึ้น เราไม่สร้างวิธีการที่จะพัฒนาด้านบวกของมนุษย์
05:34
So that was not good.
85
322000
2000
นั่นแหละที่ผมมองว่าจิตวิทยานั้นไม่ดี
05:36
And so, that's what led people like Nancy Etcoff, Dan Gilbert,
86
324000
5000
และนั่นคือสิ่งที่ทำให้คนอย่างแนนซี เอตคอฟ, แดน กิลเบิร์ต,
05:41
Mike Csikszentmihalyi and myself to work in something I call positive psychology,
87
329000
4000
ไมค์ ชิคเซนมิฮาย และตัวผมเอง มาเริ่มศึกษาสิ่งที่ผมเรียกว่า จิตวิทยาเชิงบวก
05:45
which has three aims.
88
333000
2000
ซึ่งมีเป้าหมายสามอย่าง
05:47
The first is that psychology should be just as concerned
89
335000
5000
ข้อแรกคือ จิตวิทยาควรให้ความสำคัญ
05:52
with human strength as it is with weakness.
90
340000
4000
กับจุดแข็งของมนุษย์เช่นเดียวกับที่ใส่ใจในจุดอ่อน
05:56
It should be just as concerned with building strength as with repairing damage.
91
344000
7000
มันควรจะมุ่งสร้างเสริมความแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับที่มุ่งซ่อมแซมข้อบกพร่อง
06:03
It should be interested in the best things in life.
92
351000
2000
ควรจะให้ความสนใจกับสิ่งดีๆ ทั้งหลายในชีวิต
06:05
And it should be just as concerned with making the lives of normal people fulfilling,
93
353000
6000
และควรใส่ใจกับการทำให้ชีวิตของคนปกติธรรมดาเติมเต็มมากขึ้น
06:11
and with genius, with nurturing high talent.
94
359000
5000
ให้ความสนใจกับอัจฉริยะ และการบ่มเพาะผู้มีพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษด้วย
06:16
So in the last 10 years and the hope for the future,
95
364000
4000
ดังนั้น ใน 10 ปีที่ผ่านมา และในความหวังของผมที่มีต่ออนาคต
06:20
we've seen the beginnings of a science of positive psychology,
96
368000
4000
เราได้เห็นการเริ่มต้นของศาสตร์ จิตวิทยาเชิงบวก
06:24
a science of what makes life worth living.
97
372000
3000
ศาสตร์เกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีคุณค่า
06:27
It turns out that we can measure different forms of happiness.
98
375000
4000
เราพบว่าเราสามารถวัดความสุขได้ในหลากหลายรูปแบบ
06:31
And any of you, for free, can go to that website
99
379000
4000
คุณสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์นั้น (www.authentichappiness.org)
06:35
and take the entire panoply of tests of happiness.
100
383000
3000
แล้วลองทำแบบทดสอบมากมายเกี่ยวกับความสุขได้ฟรี
06:38
You can ask, how do you stack up for positive emotion, for meaning,
101
386000
5000
คุณคงสงสัยว่า เราจะวัดอารมณ์ทางบวก ความหมายในชีวิต และภาวะที่จิต
06:43
for flow, against literally tens of thousands of other people?
102
391000
4000
มีสมาธิจดจ่อเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่ทำ (flow) ไปเปรียบเทียบกับคนอื่นนับหมื่นๆ ได้ยังไง?
06:47
We created the opposite of the diagnostic manual of the insanities:
103
395000
6000
เราได้สร้างสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคู่มือวินิจฉัยความผิดปกติทางจิต
06:53
a classification of the strengths and virtues that looks at the sex ratio,
104
401000
5000
คือ ระบบจัดประเภทจุดแข็งและคุณธรรมของมนุษย์ที่แยกแยะเปรียบเทียบระหว่างเพศ
06:58
how they're defined, how to diagnose them,
105
406000
2000
พร้อมด้วยคำนิยาม และวิธีวินิจฉัย
07:00
what builds them and what gets in their way.
106
408000
4000
อะไรที่สร้าง และอะไรที่ขัดขวางมัน
07:05
We found that we could discover the causation of the positive states,
107
413000
4000
เราพบว่าเราสามารถค้นพบสาเหตุของภาวะแง่บวกต่างๆ ได้
07:09
the relationship between left hemispheric activity
108
417000
4000
เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมในสมองซีกซ้าย
07:13
and right hemispheric activity as a cause of happiness.
109
421000
6000
กับกิจกรรมในสมองซีกขวา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของความสุข
07:20
I've spent my life working on extremely miserable people,
110
428000
3000
ผมเองเคยใช้เวลาทั้งชีวิตศึกษาคนที่ทุกข์สุดๆ
07:23
and I've asked the question,
111
431000
2000
โดยตั้งคำถามว่า
07:25
how do extremely miserable people differ from the rest of you?
112
433000
3000
คนที่ทุกข์สุดๆ เขาแตกต่างจากคนอื่นทั่วไปอย่างไร?
07:28
And starting about six years ago, we asked about extremely happy people.
113
436000
5000
เพิ่งมาหกปีหลังนี้เอง ที่เราเริ่มถามถึงคนที่มีความสุขสุดๆ
07:33
And how do they differ from the rest of us?
114
441000
2000
ว่าเขาแตกต่างจากพวกเราทั้งหมดอย่างไร?
07:35
And it turns out there's one way.
115
443000
3000
แล้วก็ปรากฏว่า มีความแตกต่างอยู่อย่างเดียว
07:39
They're not more religious, they're not in better shape,
116
447000
2000
เขาไม่ได้เคร่งศาสนามากกว่า ไม่ได้สุขภาพดีกว่า
07:41
they don't have more money, they're not better looking,
117
449000
3000
ไม่ได้มีเงินมากกว่า ไม่ได้รูปร่างหน้าตาดีกว่า
07:44
they don't have more good events and fewer bad events.
118
452000
3000
ไม่ได้มีเรื่องดีๆ ในชีวิตมากกว่า และมีเรื่องร้ายๆ ในชีวิตน้อยกว่า
07:47
The one way in which they differ: they're extremely social.
119
455000
5000
สี่งที่เขาแตกต่างจากเรา คือเขามีความสัมพันธ์ทางสังคมดีมากๆ
07:52
They don't sit in seminars on Saturday morning.
120
460000
3000
เขาไม่นั่งมาอยู่ในงานสัมมนาตอนเช้าวันเสาร์แบบนี้
07:55
(Laughter)
121
463000
4000
(เสียงหัวเราะ)
07:59
They don't spend time alone.
122
467000
2000
เขาไม่ใช้เวลาอยู่คนเดียว
08:01
Each of them is in a romantic relationship
123
469000
2000
แต่ละคนมีความรัก
08:03
and each has a rich repertoire of friends.
124
471000
3000
และมีเพื่อนเยอะมาก
08:06
But watch out here. This is merely correlational data, not causal,
125
474000
5000
แต่เราต้องระวังในการตีความนะครับ นี่เป็นข้อมูลแบบสหสัมพันธ์ ซึ่งไม่ได้บอกสาเหตุ
08:11
and it's about happiness in the first Hollywood sense I'm going to talk about:
126
479000
5000
และที่ผมพูดถึงมันก็เป็นความสุขในความหมายแบบฮอลลีวู้ด
08:16
happiness of ebullience and giggling and good cheer.
127
484000
4000
คือความสุขสนุกสนาน หัวเราะ ร่าเริงเบิกบาน
08:20
And I'm going to suggest to you that's not nearly enough, in just a moment.
128
488000
4000
อีกเดี๋ยวผมจะบอกคุณว่าความสุขแบบนี้มันยังไม่เพียงพอ
08:24
We found we could begin to look at interventions over the centuries,
129
492000
5000
เราพบว่า เราสามารถสืบค้นวิธีสร้างสุขที่มีคนเสนอไว้ย้อนหลังไปหลายศตวรรษ
08:29
from the Buddha to Tony Robbins.
130
497000
2000
ตั้งแต่พระพุทธเจ้า มาจนถึงโทนี ร็อบบินส์
08:31
About 120 interventions have been proposed
131
499000
3000
มีผู้เสนอวิธีกว่า 120 วิธี
08:34
that allegedly make people happy.
132
502000
3000
ที่ว่ากันว่าจะทำให้ผู้คนมีความสุข
08:37
And we find that we've been able to manualize many of them,
133
505000
5000
และเราก็พบว่า เราสามารถสร้างคู่มือของวิธีการเหล่านั้นได้
08:42
and we actually carry out random assignment
134
510000
3000
แล้วเราก็ไปทำการทดลองที่มีการสุ่มคนเข้ากลุ่มทดลองต่างๆ
08:45
efficacy and effectiveness studies.
135
513000
2000
เพื่อศึกษาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของวิธีสร้างสุขเหล่านี้
08:47
That is, which ones actually make people lastingly happier?
136
515000
4000
ว่าวิธีไหนทำให้คนมีความสุขอย่างยั่งยืนกว่า
08:51
In a couple of minutes, I'll tell you about some of those results.
137
519000
3000
อีกสักครู่ผมจะใช้เวลาสองสามนาทีเล่าผลการวิจัยบางส่วนให้คุณฟัง
08:54
But the upshot of this is that the mission I want psychology to have,
138
522000
7000
แต่ข้อสรุปสุดท้ายก็คือ ภารกิจที่ผมอยากให้ศาสตร์จิตวิทยานำไปปฏิบัติ
09:01
in addition to its mission of curing the mentally ill,
139
529000
4000
นอกจากการรักษาคนที่เจ็บป่วยทางจิต
09:05
and in addition to its mission of making miserable people less miserable,
140
533000
4000
นอกจากการช่วยให้คนที่ทุกข์เขาทุกข์น้อยลงแล้ว
09:09
is can psychology actually make people happier?
141
537000
4000
คือ จิตวิทยาจะช่วยให้คนมีความสุขมากขึ้นได้ไหม?
09:13
And to ask that question -- happy is not a word I use very much --
142
541000
4000
และการตั้งคำถามนี้ -- ที่จริงผมไม่ค่อยใช้คำว่าความสุขเท่าไหร่นักนะครับ --
09:17
we've had to break it down into what I think is askable about happy.
143
545000
4000
เราต้องแยกแยะความสุขออกมาเป็นแง่มุมต่างๆ ที่เราสามารถตั้งคำถามได้
09:21
And I believe there are three different --
144
549000
3000
ซึ่งผมเชื่อว่าความสุขมันมีอยู่สามแง่มุมที่แตกต่างกัน
09:24
and I call them different because different interventions build them,
145
552000
4000
ที่ผมว่ามันต่างก็เพราะมันสร้างได้ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน
09:28
it's possible to have one rather than the other --
146
556000
3000
และเราอาจจะมีอย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่าอย่างอื่น
09:31
three different happy lives.
147
559000
2000
ในบรรดาชีวิตที่มีความสุขสามแบบนั้น
09:33
The first happy life is the pleasant life.
148
561000
3000
แบบแรกคือชีวิตที่รื่นรมย์
09:36
This is a life in which you have as much positive emotion as you possibly can,
149
564000
5000
นี่คือชีวิตที่คุณมีอารมณ์ทางบวกมากเท่าที่จะเป็นไปได้
09:41
and the skills to amplify it.
150
569000
2000
และมีทักษะที่จะเพิ่มอารมณ์ทางบวกเหล่านั้นด้วย
09:43
The second is a life of engagement --
151
571000
2000
แบบที่สองคือชีวิตที่ได้ทุ่มเท เอาใจจดจ่ออยู่กับอะไรสักอย่าง
09:45
a life in your work, your parenting, your love, your leisure, time stops for you.
152
573000
7000
เช่นตอนที่คุณใช้เวลากับงาน พ่อแม่ คนรัก งานอดิเรก แล้วรู้สึกเหมือนเวลาหยุดนิ่งเพื่อคุณ
09:53
That's what Aristotle was talking about.
153
581000
2000
นั่นคือความสุขแบบที่อริสโตเติลพูดถึง
09:55
And third, the meaningful life.
154
583000
2000
และแบบที่สาม ชีวิตที่มีความหมาย
09:57
So I want to say a little bit about each of those lives
155
585000
3000
ทีนี้ ผมอยากพูดถึงชีวิตที่มีความสุขแต่ละแบบ
10:00
and what we know about them.
156
588000
2000
และสิ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับมันสักหน่อย
10:02
The first life is the pleasant life and it's simply, as best we can find it,
157
590000
5000
ชีวิตที่มีความสุขแบบแรกคือชีวิตที่รื่นรมย์ มีความสนุกสนานมากที่สุดเท่าที่เราจะหาได้
10:07
it's having as many of the pleasures as you can,
158
595000
2000
เป็นชีวิตที่มีสิ่งตอบสนองความเพลิดเพลินมากเท่าที่คุณต้องการ
10:09
as much positive emotion as you can,
159
597000
3000
มีอารมณ์ทางบวกมากเท่าที่คุณจะมีได้
10:12
and learning the skills -- savoring, mindfulness -- that amplify them,
160
600000
6000
รวมทั้งเรียนรู้ทักษะที่จะดื่มด่ำ มีสติจดจ่อ ซึ่งจะเพิ่มความเข้มข้น
10:18
that stretch them over time and space.
161
606000
3000
และแผ่ขยายอารมณ์ทางบวกนั้นออกไปข้ามกาลเวลาและสถานที่
10:21
But the pleasant life has three drawbacks,
162
609000
4000
แต่ชีวิตที่รื่นรมย์ก็มีแง่ลบอยู่สามอย่าง
10:25
and it's why positive psychology is not happy-ology and why it doesn't end here.
163
613000
6000
และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจิตวิทยาเชิงบวกจึงไม่ใช่วิชาว่าด้วยความสุขและไม่ได้จบแค่ตรงนี้
10:31
The first drawback is that it turns out the pleasant life,
164
619000
3000
ปัญหาข้อแรกคือ ปรากฏว่าชีวิตที่รื่นรมย์
10:34
your experience of positive emotion, is heritable,
165
622000
5000
และประสบการณ์อารมณ์ทางบวกของคุณนั้น ส่วนหนึ่งเป็นมรดกทางพันธุกรรม
10:39
about 50 percent heritable, and, in fact, not very modifiable.
166
627000
6000
50 เปอร์เซ็นต์เป็นอิทธิพลจากพันธุกรรม และก็ไม่ได้เปลี่ยนกันได้ง่ายนัก
10:45
So the different tricks that Matthieu [Ricard] and I and others know
167
633000
4000
ดังนั้น เทคนิคหลากหลายที่แมทธิเออ (ริการ์) กับผม และคนอื่นๆ มีอยู่
10:49
about increasing the amount of positive emotion in your life
168
637000
4000
สำหรับการเพิ่มปริมาณอารมณ์ทางบวกในชีวิตของคุณ
10:53
are 15 to 20 percent tricks, getting more of it.
169
641000
4000
ก็ช่วยเพิ่มขึ้นมาได้ 15 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของพื้นอารมณ์เดิมเท่านั้น
10:57
Second is that positive emotion habituates. It habituates rapidly, indeed.
170
645000
8000
ปัญหาข้อสองคือ เราจะชินชากับอารมณ์ทางบวก ซึ่งจะเกิดขึ้นเร็วมากเลย
11:05
It's all like French vanilla ice cream, the first taste is a 100 percent;
171
653000
5000
ก็เหมือนไอศครีมรสเฟรนชวนิลา คำแรกอร่อย 100 เปอร์เซ็นต์
11:10
by the time you're down to the sixth taste, it's gone.
172
658000
4000
พอถึงคำที่หก รสชาติมันก็งั้นๆ แล้ว
11:15
And, as I said, it's not particularly malleable.
173
663000
4000
และอย่างที่ผมบอก มันไม่ใช่สิ่งที่แก้กันได้ง่ายๆ ด้วย
11:19
And this leads to the second life.
174
667000
3000
ซึ่งประเด็นนี้ก็นำไปสู่ปัญหาที่สอง
11:22
And I have to tell you about my friend, Len,
175
670000
2000
ผมต้องเล่าเรื่องเล็น เพื่อนของผม ให้คุณฟัง
11:24
to talk about why positive psychology is more than positive emotion,
176
672000
6000
เพื่ออธิบายว่าทำไมจิตวิทยาเชิงบวกจึงมีอะไรมากกว่าอารมณ์ทางบวก
11:30
more than building pleasure.
177
678000
2000
มากกว่าการสร้างความสนุกสนานรื่นรมย์
11:32
In two of the three great arenas of life, by the time Len was 30,
178
680000
4000
ถ้าเราดูสองในสามด้านของชีวิตของเล็น ตอนเขาอายุ 30
11:36
Len was enormously successful. The first arena was work.
179
684000
6000
เขาประสบความสำเร็จอย่างสูงมากๆ เลย ด้านแรกคือเรื่องงาน
11:42
By the time he was 20, he was an options trader.
180
690000
2000
ตอนอายุ 20 เขาเป็นผู้ค้าสัญญาออปชั่น
11:44
By the time he was 25, he was a multimillionaire
181
692000
3000
พออายุ 25 เขาก็เป็นมหาเศรษฐี
11:47
and the head of an options trading company.
182
695000
3000
และเป็นประธานบริษัทค้าสัญญาออปชั่น
11:50
Second, in play -- he's a national champion bridge player.
183
698000
5000
ด้านที่สอง การเล่น เขาเป็นแชมป์ไพ่บริดจ์ระดับชาติ
11:56
But in the third great arena of life, love, Len is an abysmal failure.
184
704000
6000
แต่ในด้านที่สามของชีวิต เรื่องความรัก เล็นล้มเหลวไม่เป็นท่า
12:02
And the reason he was, was that Len is a cold fish.
185
710000
6000
เหตุผลก็คือ เล็นเป็นคนตายด้าน
12:08
(Laughter)
186
716000
1000
(เสียงหัวเราะ)
12:10
Len is an introvert.
187
718000
3000
เล็นเขาเป็นคนเงียบ ปิดตัว
12:14
American women said to Len, when he dated them,
188
722000
4000
เคยมีผู้หญิงอเมริกันหลายคนบอกกับเล็นตอนที่เขาเริ่มจีบกัน
12:18
"You're no fun. You don't have positive emotion. Get lost."
189
726000
4000
ว่า "คุณนี่น่าเบื่อสุดๆ ไม่มีอารมณ์กุ๊กกิ๊กหวานแหววเลย ไปให้พ้นเลยไป"
12:22
And Len was wealthy enough to be able to afford a Park Avenue psychoanalyst,
190
730000
6000
เล็นก็รวยพอที่จะไปหานักจิตวิเคราะห์ในย่านพาร์ค อเวนิว
12:28
who for five years tried to find the sexual trauma
191
736000
4000
ซึ่งใช้เวลาห้าปี พยายามค้นหาบาดแผลทางใจเกี่ยวกับเรื่องเพศ
12:32
that had somehow locked positive emotion inside of him.
192
740000
3000
ที่อาจจะปิดกั้นอารมณ์ความรู้สึกทางบวกที่อยู่ภายในใจของเขา
12:35
But it turned out there wasn't any sexual trauma.
193
743000
4000
แต่ก็ไม่เจอบาดแผลหรือปมทางใจเกี่ยวกับเรื่องเพศเลยสักนิด
12:39
It turned out that -- Len grew up in Long Island
194
747000
4000
เรื่องของเรื่องคือ เล็นเกิดและโตที่ลองไอร์แลนด์
12:43
and he played football and watched football, and played bridge --
195
751000
6000
เขาเล่นฟุตบอล ดูฟุตบอล แล้วก็เล่นไพ่บริดจ์
12:49
Len is in the bottom five percent of what we call positive affectivities.
196
757000
5000
เล็นเป็นคนที่มีอารมณ์ทางบวกน้อย คืออยู่ในกลุ่มห้าเปอร์เซ็นต์ต่ำสุด
12:54
The question is, is Len unhappy? And I want to say not.
197
762000
4000
คำถามคือ เล็นเป็นคนไม่มีความสุขหรือเปล่า ผมขอบอกว่าไม่ใช่
12:58
Contrary to what psychology told us about the bottom 50 percent
198
766000
4000
ตรงกันข้ามกับที่ศาสตร์จิตวิทยาว่าไว้เกี่ยวกับคนที่อยู่ใน 50 เปอร์เซ็นต์ต่ำสุด
13:02
of the human race in positive affectivity,
199
770000
3000
ของมนุษยชาติในแง่ของคะแนนอารมณ์ทางบวก
13:05
I think Len is one of the happiest people I know.
200
773000
3000
ผมคิดว่าเล็นเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้จัก
13:08
He's not consigned to the hell of unhappiness
201
776000
3000
เขาไม่ได้จมอยู่กับความทุกข์
13:11
and that's because Len, like most of you, is enormously capable of flow.
202
779000
6000
แต่เขาเข้าถึงภาวะ flow หรือการมีสมาธิลึกซึ้งอยู่กับกิจกรรมที่ทำในแต่ละขณะได้อย่างดีเยี่ยม
13:17
When he walks onto the floor of the American Exchange at 9:30 in the morning,
203
785000
5000
เมื่อเขาเดินขึ้นตึกอเมริกันเอ็กซเชนจ์ตอน 9:30 ในตอนเช้า
13:22
time stops for him. And it stops till the closing bell.
204
790000
3000
เวลาก็เหมือนหยุดนิ่งไปจนกริ่งเลิกงานดังขึ้นในตอนเย็น
13:25
When the first card is played,
205
793000
2000
ตั้งแต่เริ่มเปิดไพ่ใบแรก
13:27
until 10 days later, the tournament is over, time stops for Len.
206
795000
4000
ไปจนกระทั่งสิบวันให้หลังเมื่อการแข่งขันจบลง เวลาสำหรับเล็นก็หยุดนิ่งอยู่กับที่
13:31
And this is indeed what Mike Csikszentmihalyi has been talking about,
207
799000
4000
นี่แหละที่ไมค์ ชิคเซนมิฮายเรียกว่าภาวะที่จิตเป็นหนึ่งเดียวกับกิจกรรมที่ทำ
13:35
about flow. And it's distinct from pleasure in a very important way.
208
803000
5000
ซึ่งเรียกว่า "flow" และมันก็แตกต่างจากความสนุกสนานรื่นรมย์มากเลย
13:40
Pleasure has raw feels: you know it's happening. It's thought and feeling.
209
808000
5000
ความสนุกสนานเป็นความรู้สึกที่ดิบ คุณรู้ตัวว่ามันเกิดขึ้น มันมีความคิดและความรู้สึกอยู่ในนั้น
13:45
But what Mike told you yesterday -- during flow, you can't feel anything.
210
813000
8000
แต่อย่างที่คุณได้ฟังไมค์พูดเมื่อวานนี้ ถ้าคุณอยู่ในภาวะ flow คุณจะไม่รู้สึกอะไรเลย
13:54
You're one with the music. Time stops.
211
822000
4000
คุณเป็นหนึ่งเดียวกับเสียงดนตรี โลกทั้งใบหยุดหมุน
13:58
You have intense concentration.
212
826000
2000
คุณอยู่ในภาวะมีสมาธิจดจ่ออย่างลึกซึ้ง
14:00
And this is indeed the characteristic of what we think of as the good life.
213
828000
5000
นี่แหละคือลักษณะของสิ่งที่เรามองว่าเป็นชีวิตที่ดีงาม
14:05
And we think there's a recipe for it,
214
833000
3000
และเราคิดว่ามันมีสูตรที่จะทำอย่างนั้นได้
14:08
and it's knowing what your highest strengths are.
215
836000
2000
คุณต้องรู้ว่าจุดแข็งของคุณอยู่ที่ไหน
14:10
And again, there's a valid test
216
838000
2000
และเราก็มีแบบทดสอบที่เชื่อถือได้
14:12
of what your five highest strengths are.
217
840000
3000
ที่ใช้วัดว่าจุดแข็งสูงสุด 5 ประการของคุณคืออะไร
14:15
And then re-crafting your life to use them as much as you possibly can.
218
843000
6000
แล้วคุณก็ออกแบบชีวิตของคุณเพื่อให้ได้ใช้จุดแข็งเหล่านี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
14:21
Re-crafting your work, your love,
219
849000
3000
ออกแบบงานของคุณ ความรักของคุณ
14:24
your play, your friendship, your parenting.
220
852000
3000
การเล่น มิตรภาพ และการเลี้ยงดูลูกของคุณ
14:27
Just one example. One person I worked with was a bagger at Genuardi's.
221
855000
5000
มาดูตัวอย่างอันหนึ่ง ผมรู้จักพนักงานที่คอยเอาของใส่ถุงที่ห้าง Genuardi's อยู่คนหนึ่ง
14:32
Hated the job.
222
860000
2000
เธอไม่ชอบงานที่ทำ
14:34
She's working her way through college.
223
862000
2000
ตอนนี้กำลังเรียนวิทยาลัยอยู่
14:37
Her highest strength was social intelligence,
224
865000
3000
จุดแข็งที่สุดของเธอคือความฉลาดทางสังคม
14:40
so she re-crafted bagging to make the encounter with her
225
868000
5000
เธอก็เลยออกแบบ งานหยิบของใส่ถุง ของเธอ โดยตั้งใจว่าการพบกันระหว่างเธอกับลูกค้า
14:45
the social highlight of every customer's day.
226
873000
2000
ต้องเป็นช่วงเวลาที่พิเศษสุดของวันสำหรับลูกค้าทุกๆ คน
14:47
Now obviously she failed.
227
875000
3000
แน่ละ เธอไม่ประสบความสำเร็จหรอก
14:50
But what she did was to take her highest strengths,
228
878000
3000
แต่สิ่งที่เธอทำคือ เธอเอาจุดแข็งของเธอมาเป็นตัวตั้ง
14:53
and re-craft work to use them as much as possible.
229
881000
4000
แล้วออกแบบงานของตัวเองให้ได้ใช้จุดแข็งนี้มากที่สุด
14:57
What you get out of that is not smiley-ness.
230
885000
2000
สิ่งที่คุณได้จากการทำอย่างนี้ไม่ใช่รอยยิ้ม
14:59
You don't look like Debbie Reynolds.
231
887000
2000
หน้าตาคุณคงไม่ดูเหมือนเด็บบี้ เรย์โนลด์ขึ้นมาหรอก
15:01
You don't giggle a lot. What you get is more absorption.
232
889000
5000
และคุณก็คงไม่ได้หัวเราะร่วนด้วย สิ่งที่คุณจะได้คือจิตใจที่มีสมาธิอยู่กับสิ่งที่ทำ
15:06
So, that's the second path. The first path, positive emotion.
233
894000
4000
นั่นคือเส้นทางที่สองนะครับ เส้นทางแรกคืออารมณ์ทางบวก
15:10
The second path is eudaimonian flow.
234
898000
4000
เส้นทางที่สองคือภาวะ flow ที่ทำให้เกิดความอิ่มเอิบงอกงามทางใจ
15:14
And the third path is meaning.
235
902000
2000
และเส้นทางที่สามคือชีวิตที่มีความหมาย
15:16
This is the most venerable of the happinesses, traditionally.
236
904000
4000
นี่เป็นความสุขรูปแบบที่มักได้รับยกย่องว่ามีคุณค่าสูงสุด
15:20
And meaning, in this view, consists of -- very parallel to eudaimonia --
237
908000
6000
คำว่าความหมายในที่นี้ คล้ายกับคำว่าความอิ่มเอิบหรืองอกงามทางจิตใจมากเลย
15:26
it consists of knowing what your highest strengths are, and using them
238
914000
6000
มันประกอบด้วยการรู้ว่าอะไรคือจุดแข็งของคุณ แล้วก็ใช้มัน
15:32
to belong to and in the service of something larger than you are.
239
920000
6000
เพื่อเข้าถึง เป็นส่วนหนึ่ง และรับใช้อะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวคุณเอง
15:39
I mentioned that for all three kinds of lives, the pleasant life,
240
927000
5000
ผมพูดถึงชีวิตที่มีความสุขไปแล้วสามแบบ ชีวิตที่เต็มไปด้วยความสนุกเพลิดเพลิน
15:44
the good life, the meaningful life, people are now hard at work on the question,
241
932000
5000
ชีวิตที่ดีงาม และชีวิตที่มีความหมาย ตอนนี้ผู้คนก็พยายามหาคำตอบกันอย่างคร่ำเคร่ง
15:49
are there things that lastingly change those lives?
242
937000
4000
ว่ามีอะไรไหมที่จะเปลี่ยนชีวิตเราให้มีความสุขได้อย่างยั่งยืนถาวร
15:53
And the answer seems to be yes. And I'll just give you some samples of it.
243
941000
6000
ดูเหมือนคำตอบคือ มีครับ และผมจะเล่าตัวอย่างให้คุณฟัง
15:59
It's being done in a rigorous manner.
244
947000
2000
งานนี้มีการทดสอบอย่างเข้มงวด
16:01
It's being done in the same way that we test drugs to see what really works.
245
949000
5000
แบบเดียวกับเวลาทดลองยาว่ายาตัวไหนได้ผลจริงบ้าง
16:06
So we do random assignment, placebo controlled,
246
954000
5000
เราแบ่งคนเป็นสองกลุ่มด้วยการสุ่ม มีกลุ่มควบคุมที่ได้ยาหลอก
16:11
long-term studies of different interventions.
247
959000
3000
ศึกษาวิธีสร้างสุขแบบต่างๆ ต่อเนื่องในระยะยาว
16:14
And just to sample the kind of interventions that we find have an effect,
248
962000
4000
และนี่คือตัวอย่างของวิธีสร้างสุขที่เราพบว่าได้ผล
16:18
when we teach people about the pleasant life,
249
966000
4000
เมื่อเราสอนให้คนรู้จักชีวิตที่รื่นรมย์
16:22
how to have more pleasure in your life,
250
970000
2000
ให้รู้ว่าจะเพิ่มความสนุกสนานเพลิดเพลินในชีวิตได้อย่างไร
16:24
one of your assignments is to take the mindfulness skills, the savoring skills,
251
972000
6000
การบ้านอันหนึ่งก็คือ การฝึกสติ และการดื่มด่ำไปกับอารมณ์ความรู้สึก
16:30
and you're assigned to design a beautiful day.
252
978000
4000
การบ้านอีกอย่างที่ต้องทำคือการออกแบบวันที่สวยงาม
16:34
Next Saturday, set a day aside, design yourself a beautiful day,
253
982000
5000
เสาร์หน้านะครับ ลองจัดให้เป็นวันว่าง ออกแบบวันที่สวยงามของคุณเอง
16:39
and use savoring and mindfulness to enhance those pleasures.
254
987000
4000
แล้วใช้การฝึกสติและการดื่มด่ำกับอารมณ์เพื่อเพิ่มความเพลิดเพลินใจ
16:43
And we can show in that way that the pleasant life is enhanced.
255
991000
6000
เราพบว่าการทำอย่างนี้ทำให้คนเรามีชีวิตที่สนุกสนานรื่นรมย์มากขึ้น
16:50
Gratitude visit. I want you all to do this with me now, if you would.
256
998000
6000
การไปเยี่ยมเพื่อแสดงความซาบซึ้งในเมตตา ผมอยากให้คุณลองทำตามที่ผมจะบอก
16:56
Close your eyes.
257
1004000
2000
โปรดหลับตาลงครับ
16:58
I'd like you to remember someone who did something enormously important
258
1006000
8000
ผมอยากให้คุณนึกถึงใครสักคนหนึ่งที่ได้ทำอะไรบางอย่างที่มีความสำคัญยิ่งใหญ่
17:06
that changed your life in a good direction,
259
1014000
4000
ซึ่งได้เปลี่ยนชีวิตคุณไปในทิศทางที่ดี
17:10
and who you never properly thanked.
260
1018000
3000
คนที่คุณไม่เคยขอบคุณเขาให้มากอย่างที่เขาควรได้รับ
17:13
The person has to be alive. OK.
261
1021000
3000
คนคนนั้นต้องยังมีชีวิตอยู่นะครับ
17:16
Now, OK, you can open your eyes.
262
1024000
2000
เอาล่ะ ทีนี้ ลืมตาได้
17:18
I hope all of you have such a person.
263
1026000
2000
ผมหวังว่าทุกคนคงมีคนคนนั้นอยู่ในใจแล้วนะครับ
17:20
Your assignment, when you're learning the gratitude visit,
264
1028000
4000
สิ่งที่คุณต้องทำเวลาเรียนรู้เรื่องการไปเยี่ยมเพื่อแสดงความซาบซึ้งในเมตตา
17:24
is to write a 300-word testimonial to that person,
265
1032000
4000
คือ คุณต้องเขียนข้อความยาวสัก 300 คำเกี่ยวกับคนคนนั้น,
17:28
call them on the phone in Phoenix,
266
1036000
3000
โทรหาเขา เช่น สมมุติว่าเขาอยู่ที่เมืองฟีนิกซ์
17:31
ask if you can visit, don't tell them why, show up at their door,
267
1039000
5000
แล้วถามเขาว่า คุณขอไปเยี่ยมได้ไหม ไม่ต้องบอกว่าทำไม แค่ไปปรากฏตัวหน้าประตู
17:36
you read the testimonial -- everyone weeps when this happens.
268
1044000
6000
แล้วอ่านข้อความที่คุณเขียนให้เขาฟัง --ที่ผ่านมาทุกคนร้องไห้หมดเมื่อมาถึงจุดนี้--
17:42
And what happens is when we test people one week later, a month later,
269
1050000
4000
และสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมื่อเราวัดความสุขของคนเหล่านี้หนึ่งสัปดาห์ หนึ่งเดือน
17:46
three months later, they're both happier and less depressed.
270
1054000
5000
และสามเดือนให้หลัง ทั้งคู่มีความสุขมากขึ้น และซึมเศร้าน้อยลง
17:52
Another example is a strength date, in which we get couples
271
1060000
4000
อีกตัวอย่างหนึ่งคือการออกเดทเพื่อเสริมสร้างจุดแข็ง
17:56
to identify their highest strengths on the strengths test,
272
1064000
3000
เราให้คู่รักมาทำแบบทดสอบเพื่อหาว่าจุดแข็งของแต่ละคนคืออะไร
17:59
and then to design an evening in which they both use their strengths,
273
1067000
6000
แล้วให้วางแผนว่าเย็นนั้นจะไปทำกิจกรรมอะไร ที่ทั้งคู่ได้ใช้จุดแข็งของตัวเอง
18:05
and we find this is a strengthener of relationships.
274
1073000
3000
เราพบว่าวิธีนี้ช่วยกระชับความสัมพันธ์ของคู่รักให้แน่นแฟ้นขึ้น
18:08
And fun versus philanthropy.
275
1076000
2000
แล้วก็มีการทดลองเปรียบเทียบความสนุกกับการได้ช่วยเหลือผู้อื่น
18:10
But it's so heartening to be in a group like this,
276
1078000
3000
แต่การได้อยู่ในกลุ่มคนแบบนี้ทำให้รู้สึกดีมากเลยนะครับ
18:13
in which so many of you have turned your lives to philanthropy.
277
1081000
4000
อย่างที่พวกคุณหลายคนก็ได้หันมาทำการกุศลช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์กันแล้ว
18:17
Well, my undergraduates and the people I work with haven't discovered this,
278
1085000
3000
แต่นักศึกษาปริญญาตรีกับผู้ร่วมการทดลองของผมยังไม่บรรลุขั้นนั้นกัน
18:20
so we actually have people do something altruistic
279
1088000
4000
เราก็เลยให้เขามาทำกิจกรรมได้ช่วยเหลือคนอื่น
18:24
and do something fun, and to contrast it.
280
1092000
3000
แล้วก็ให้ทำอะไรสนุกๆ เพื่อเปรียบเทียบกัน
18:27
And what you find is when you do something fun,
281
1095000
3000
คุณจะพบว่า เวลาทำอะไรสนุกๆ
18:30
it has a square wave walk set.
282
1098000
2000
ระดับความสุขขึ้นแล้วก็ลงเป็นรูปกราฟสี่เหลี่ยม
18:32
When you do something philanthropic to help another person, it lasts and it lasts.
283
1100000
6000
แต่เวลาได้ช่วยเหลือคนอื่น ความสุขคงอยู่ยั่งยืน ยาวนาน
18:38
So those are examples of positive interventions.
284
1106000
4000
นั่นก็เป็นตัวอย่างวิธีการสร้างเสริมคุณสมบัติด้านบวกของมนุษย์
18:42
So, the next to last thing I want to say is
285
1110000
5000
เรื่องรองสุดท้ายที่ผมอยากพูดคือ
18:47
we're interested in how much life satisfaction people have.
286
1115000
3000
ตอนนี้เราสนใจศึกษาว่าคนเรามีความพึงพอใจในชีวิตมากแค่ไหน
18:50
And this is really what you're about. And that's our target variable.
287
1118000
4000
พูดง่ายๆ ก็คือ คุณรู้สึกว่าชีวิตคุณเป็นยังไงบ้าง นั่นเป็นตัวแปรที่เป็นเป้าหมายของเรา
18:54
And we ask the question as a function of the three different lives,
288
1122000
4000
เราถามคำถามนี้ให้คนตอบโดยแยกเป็นชีวิตสามด้าน
18:58
how much life satisfaction do you get?
289
1126000
2000
ว่าเขาได้รับความพึงพอใจจากชีวิตแต่ละด้านมากแค่ไหน
19:00
So we ask -- and we've done this in 15 replications involving thousands of people --
290
1128000
6000
เราทดสอบซ้ำแบบนี้ในการวิจัย 15 ชิ้น ซึ่งมีผู้ร่วมการวิจัยรวมทั้งหมดเป็นพันๆ คน
19:06
to what extent does the pursuit of pleasure,
291
1134000
2000
โดยถามว่า การแสวงหาความเพลิดเพลิน,
19:08
the pursuit of positive emotion, the pleasant life,
292
1136000
4000
อารมณ์ทางบวก, และชีวิตที่รื่นรมย์
19:12
the pursuit of engagement, time stopping for you,
293
1140000
3000
การได้ทุ่มเทเอาใจจดจ่ออยู่กับอะไรสักอย่างจนเหมือนเวลาหยุดนิ่ง
19:15
and the pursuit of meaning contribute to life satisfaction?
294
1143000
4000
และการแสวงหาความหมายในชีวิต แต่ละอย่างมีส่วนเติมเต็มความพึงพอใจในชีวิตมากแค่ไหน?
19:19
And our results surprised us, but they were backward of what we thought.
295
1147000
4000
ผลที่ออกมาทำให้เรางงไปเลยครับ เพราะมันกลับตาลปัตรกับที่เราคาด
19:23
It turns out the pursuit of pleasure has almost no contribution to life satisfaction.
296
1151000
5000
ปรากฏว่าการแสวงหาความสนุกสนานเพลิดเพลินแทบไม่ได้เพิ่มความพึงพอใจในชีวิตเลย
19:28
The pursuit of meaning is the strongest.
297
1156000
3000
การแสวงหาความหมายในชีวิตมีผลมากที่สุด
19:31
The pursuit of engagement is also very strong.
298
1159000
4000
และการได้ทำอะไรด้วยจิตที่มีสมาธิจดจ่อจริงจังก็มีผลมากเช่นกัน
19:35
Where pleasure matters is if you have both engagement
299
1163000
4000
ถ้าความสนุกสนานรื่นรมย์จะมีบทบาทบ้าง ก็เมื่อคุณมีทั้งภาวะที่จิตจดจ่อทุ่มเทกับอะไรสักอย่าง
19:39
and you have meaning, then pleasure's the whipped cream and the cherry.
300
1167000
4000
และมีชีวิตที่มีความหมายแล้ว ความสนุกสนานก็เป็นวิปครีมและเชอร์รี่ที่มาแต่งหน้าสวยขึ้นเท่านั้น
19:43
Which is to say, the full life -- the sum is greater than the parts, if you've got all three.
301
1171000
8000
นั่นหมายความว่า ในชีวิตที่เติมเต็มแล้ว ถ้าคุณมีครบทั้งสามด้านของชีวิต คุณก็ได้กำไรขึ้นมาทันที
19:51
Conversely, if you have none of the three,
302
1179000
3000
ในทางกลับกัน ถ้าคุณไม่มีสามด้านของชีวิตนี้เลยสักด้าน
19:54
the empty life, the sum is less than the parts.
303
1182000
2000
คือเมื่อชีวิตคุณว่างเปล่า ก็เท่ากับชีวิตคุณติดลบไปทันที
19:56
And what we're asking now is
304
1184000
2000
ตอนนี้เราก็เริ่มศึกษาด้วยว่า
19:58
does the very same relationship, physical health, morbidity,
305
1186000
4000
มีความสัมพันธ์แบบเดียวกันนี้ไหม ในกรณีสุขภาพกาย การเจ็บป่วย
20:02
how long you live and productivity, follow the same relationship?
306
1190000
5000
อายุขัย และผลการทำงาน เราอยากรู้ว่าความสัมพันธ์เป็นแบบเดียวกันไหม?
20:07
That is, in a corporation,
307
1195000
2000
เช่น ในบริษัทหนึ่งๆ
20:09
is productivity a function of positive emotion, engagement and meaning?
308
1197000
6000
ผลการทำงานได้รับอิทธิพลจากอารมณ์ทางบวก จิตที่มีสมาธิจดจ่อ และความหมายในชีวิตไหม?
20:16
Is health a function of positive engagement,
309
1204000
3000
สุขภาพเป็นผลมาจากการได้ทำอะไรด้วยใจที่ทุ่มเทจดจ่อ
20:19
of pleasure, and of meaning in life?
310
1207000
2000
ความเพลิดเพลินใจ และความหมายในชีวิตหรือเปล่า?
20:21
And there is reason to think the answer to both of those may well be yes.
311
1209000
5000
มันก็มีเหตุผลที่ชวนให้คิดว่าคำตอบของทั้งสองคำถามนี้คือ ใช่
20:28
So, Chris said that the last speaker had a chance to try to integrate what he heard,
312
1216000
7000
คริส (ผู้จัด TED) บอกว่า ผู้พูดคนสุดท้ายมีโอกาสกล่าวสรุปโดยบูรณาการสิ่งที่ได้ฟังมาเข้าด้วยกัน
20:35
and so this was amazing for me. I've never been in a gathering like this.
313
1223000
5000
ผมอยากบอกว่างานนี้น่าทึ่งมากสำหรับผม ผมไม่เคยเข้าร่วมงานประชุมสัมมนาแบบนี้เลย
20:41
I've never seen speakers stretch beyond themselves so much,
314
1229000
3000
ไม่เคยเห็นผู้พูดที่ก้าวล้ำขีดจำกัดตัวเองออกมาได้มากขนาดนี้
20:44
which was one of the remarkable things.
315
1232000
3000
ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก
20:47
But I found that the problems of psychology seemed to be parallel
316
1235000
4000
ผมพบว่าโจทย์ของจิตวิทยาก็เหมือนกับโจทย์ของ
20:51
to the problems of technology, entertainment and design in the following way.
317
1239000
5000
เทคโนโลยี งานบันเทิง และการออกแบบ ตรงที่
20:56
We all know that technology, entertainment and design
318
1244000
4000
เราทุกคนรู้ว่า เทคโนโลยี งานบันเทิง และการออกแบบ
21:00
have been and can be used for destructive purposes.
319
1248000
6000
สามารถนำมาใช้ และได้ถูกใช้เพื่อเป้าหมายที่เป็นอันตราย
21:06
We also know that technology, entertainment and design
320
1254000
4000
และเราก็รู้ว่า เทคโนโลยี งานบันเทิง และการออกแบบ
21:10
can be used to relieve misery.
321
1258000
3000
สามารถนำไปใช้เยียวยาความทุกข์ได้เช่นกัน
21:13
And by the way, the distinction between relieving misery
322
1261000
4000
ในขณะเดียวกัน การแยกแยะระหว่างการบำบัดทุกข์
21:17
and building happiness is extremely important.
323
1265000
3000
กับการบำรุงสุข ก็สำคัญมากๆ
21:20
I thought, when I first became a therapist 30 years ago,
324
1268000
3000
เมื่อตอนที่ผมเริ่มเป็นนักจิตบำบัดใหม่เมื่อ 30 ปีก่อน ผมเคยคิดนะ
21:23
that if I was good enough to make someone not depressed,
325
1271000
6000
ว่าถ้าผมเก่งพอที่จะทำให้ใครสักคนหายซึมเศร้า
21:29
not anxious, not angry, that I'd make them happy.
326
1277000
6000
ไม่วิตกกังวล ไม่โกรธ นั่นแปลว่าผมทำให้เขามีความสุขแล้ว
21:35
And I never found that. I found the best you could ever do was to get to zero.
327
1283000
5000
แต่ผมไม่เคยพบผลอย่างที่คิด ผมพบว่า อย่างดีที่สุดคุณก็ทำได้แค่ดึงเขามาที่ศูนย์
21:40
But they were empty.
328
1288000
2000
แต่แล้วเขาก็รู้สึกว่างเปล่า
21:42
And it turns out the skills of happiness, the skills of the pleasant life,
329
1290000
5000
ปรากฏว่าทักษะที่จะทำให้เรามีความสุข มีชีวิตที่รื่นรมย์
21:47
the skills of engagement, the skills of meaning,
330
1295000
3000
มีจิตจดจ่อกับสิ่งที่ทำ และมีชีวิตที่มีความหมาย
21:50
are different from the skills of relieving misery.
331
1298000
4000
มันแตกต่างจากทักษะที่ใช้ในการเยียวยาความทุกข์
21:54
And so, the parallel thing holds
332
1302000
3000
ผมเชื่อว่าในกรณีของเทคโนโลยี
21:57
with technology, entertainment and design, I believe.
333
1305000
4000
งานบันเทิง และการออกแบบก็เหมือนกัน
22:01
That is, it is possible for these three drivers of our world
334
1309000
7000
นั่นคือ มันเป็นไปได้ที่กลจักรทั้งสามตัวที่ขับเคลื่อนโลกของเรานี้
22:08
to increase happiness, to increase positive emotion,
335
1316000
6000
จะช่วยเพิ่มความสุข อารมณ์ทางบวก
22:14
and that's typically how they've been used.
336
1322000
2000
และที่จริงมันก็ถูกใช้เพื่อการนี้เป็นหลักอยู่แล้ว
22:16
But once you fractionate happiness the way I do --
337
1324000
3000
แต่เมื่อคุณแจกแจงความสุขออกมาเป็นสามด้านอย่างที่ผมว่ามา
22:19
not just positive emotion, that's not nearly enough --
338
1327000
3000
มันไม่ใช่แค่อารมณ์ทางบวกแล้ว -- แค่อารมณ์ดียังไม่เพียงพอ --
22:22
there's flow in life, and there's meaning in life.
339
1330000
3000
ชีวิตต้องมี flow และมีความหมายด้วย
22:25
As Laura Lee told us,
340
1333000
2000
เหมือนที่คุณลอราลีบอกเราว่า
22:27
design, and, I believe, entertainment and technology,
341
1335000
4000
การออกแบบ และผมเชื่อว่างานบันเทิงและเทคโนโลยีด้วย
22:31
can be used to increase meaning engagement in life as well.
342
1339000
4000
สามารถช่วยให้เราเข้าใกล้และได้ทำหรือสัมผัสสิ่งที่มีความหมายในชีวิต
22:35
So in conclusion, the eleventh reason for optimism,
343
1343000
4000
ดังนั้น เหตุผลข้อที่ 11 ที่เราควรมองโลกแง่ดี
22:39
in addition to the space elevator,
344
1347000
4000
นอกจากเป็นเพราะเราจะมีลิฟต์อวกาศแล้ว
22:43
is that I think with technology, entertainment and design,
345
1351000
5000
ผมคิดว่า ยังเป็นเพราะด้วยเทคโนโลยี งานบันเทิง และการออกแบบ
22:48
we can actually increase the amount of tonnage
346
1356000
4000
เราจะสามารถเพิ่มปริมาณความสุข
22:52
of human happiness on the planet.
347
1360000
2000
ของมนุษย์บนโลกนี้ได้มหาศาลด้วย
22:54
And if technology can, in the next decade or two, increase the pleasant life,
348
1362000
6000
และถ้าในอีกหนึ่งหรือสองทศวรรษข้างหน้า เทคโนโลยีสามารถทำให้มนุษย์มีชีวิตที่น่ารื่นรมย์
23:00
the good life and the meaningful life, it will be good enough.
349
1368000
4000
ชีวิตที่ดี และชีวิตที่มีความหมายมากขึ้นได้ มันก็จะเป็นเทคโนโลยีที่ดีพอ
23:04
If entertainment can be diverted to also increase positive emotion,
350
1372000
6000
ถ้าเราสามารถนำงานบันเทิงไปใช้เพื่อเพิ่มอารมณ์ทางบวก
23:10
meaning, eudaimonia, it will be good enough.
351
1378000
4000
(ซึ่งหมายถึง ความงอกงามของชีวิต) มันก็จะเป็นงานบันเทิงที่ดีพอ
23:14
And if design can increase positive emotion,
352
1382000
6000
และถ้าการออกแบบสามารถเพิ่มอารมณ์ทางบวก
23:20
eudaimonia, and flow and meaning,
353
1388000
3000
ความงอกงาม ภาวะ flow และความหมายในชีวิต
23:23
what we're all doing together will become good enough. Thank you.
354
1391000
5000
สิ่งที่เราทุกคนกำลังร่วมมือทำ ก็จะดีพอ ขอบคุณครับ
23:28
(Applause)
355
1396000
8000
(เสียงปรบมือ)
ABOUT THE SPEAKER
Martin Seligman - PsychologistMartin Seligman is the founder of positive psychology, a field of study that examines healthy states, such as happiness, strength of character and optimism.
Why you should listen
Martin Seligman founded the field of positive psychology in 2000, and has devoted his career since then to furthering the study of positive emotion, positive character traits, and positive institutions. It's a fascinating field of study that had few empirical, scientific measures -- traditional clinical psychology focusing more on the repair of unhappy states than the propagation and nurturing of happy ones. In his pioneering work, Seligman directs the Positive Psychology Center at the University of Pennsylvania, developing clinical tools and training the next generation of positive psychologists.
His earlier work focused on perhaps the opposite state: learned helplessness, in which a person feels he or she is powerless to change a situation that is, in fact, changeable. Seligman is an often-cited authority in this field as well -- in fact, his is the 13th most likely name to pop up in a general psych textbook. He was the leading consultant on a Consumer Reports study on long-term psychotherapy, and has developed several common pre-employment tests, including the Seligman Attributional Style Questionnaire (SASQ).
Martin Seligman | Speaker | TED.com