TED2011
Kate Hartman: The art of wearable communication
เคท ฮาร์ทแมน (Kate Hartman): ศิลปะแห่งการสื่อสารที่สวมใส่ได้
Filmed:
Readability: 4.2
969,380 views
ศิลปิน เคท ฮาร์ทแมน ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่สวมใส่ได้ มาช่วยให้เราสื่อสารกับตัวเอง และโลกรอบตัวได้ ในการพูดที่ประหลาดและชวนฟังนี้ เธอยังได้โชว์ "หมวกพูดกับตัวเอง" "หัวใจพองโต" "ชุดโอบกอดธารน้ำแข็ง" และอุปกรณ์อื่นๆ ที่คาดไม่ถึง
Kate Hartman - Artist and technologist
Kate Hartman creates devices and interfaces for humans, houseplants, and glaciers. Her work playfully questions the ways in which we relate and communicate. Full bio
Kate Hartman creates devices and interfaces for humans, houseplants, and glaciers. Her work playfully questions the ways in which we relate and communicate. Full bio
Double-click the English transcript below to play the video.
00:15
My name is Kate Hartman.
0
0
3000
ฉันชื่อเคท เคท ฮาร์ทแมนค่ะ
00:22
And I like to make devices
1
7000
2000
และฉันสร้างอุปกรณ์หลายแบบ
00:24
that play with the ways
2
9000
2000
ที่เล่นกับวิธีการต่างๆ
00:26
that we relate and communicate.
3
11000
2000
ที่พวกเราเชื่อมโยงและสื่อสารกัน
00:28
So I'm specifically interested in how we, as humans,
4
13000
3000
ฉันสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับการเชื่อมโยงของคน
00:31
relate to ourselves, each other
5
16000
2000
กับตัวเอง และกับคนอื่น
00:33
and the world around us.
6
18000
3000
รวมถึงกับสิ่งรอบๆตัวเรา
00:43
(Laughter)
7
28000
4000
(เสียงหัวเราะ)
00:47
So just to give you a bit of context,
8
32000
2000
เพื่อเป็นการเกริ่นเล็กน้อย
00:49
as June said, I'm an artist, a technologist and an educator.
9
34000
3000
อย่างที่จูนบอก ฉันเป็นศิลปิน เป็นนักเทคโนโลยี และเป็นนักการศึกษาด้วย
00:52
I teach courses in physical computing
10
37000
2000
ฉันสอนวิชาต่างๆ ในสาขาการคำนวณทางกายภาพ
00:54
and wearable electronics.
11
39000
2000
และอุปกรณ์ไฟฟ้าสวมใส่ได้
00:56
And much of what I do is either wearable
12
41000
2000
งานส่วนมากที่ฉันทำ จึงมักจะเอาไปสวมใส่ได้
00:58
or somehow related to the human form.
13
43000
3000
หรือไม่ก็มีบางอย่างเชื่อมโยงกับรูปร่างมนุษย์
01:01
And so anytime I talk about what I do,
14
46000
2000
เมื่อไหร่ก็ตามที่เล่าถึงสิ่งที่ฉันทำ
01:03
I like to just quickly address
15
48000
2000
ฉันมักจะกล่าวถึงสาเหตุ
01:05
the reason why bodies matter.
16
50000
2000
ที่ว่าทำไมร่างกายเราถึงสำคัญ
01:07
And it's pretty simple.
17
52000
3000
มันเป็นเหตุผลที่ง่ายมาก
01:10
Everybody's got one -- all of you.
18
55000
2000
เพราะทุกคนมีไง พวกคุณทุกคนมี
01:12
I can guarantee, everyone in this room,
19
57000
2000
ฉันการันตีได้ ทุกคนในห้องนี้
01:14
all of you over there, the people in the cushy seats,
20
59000
2000
พวกคุณทุกคนตรงนั้น คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แสนสบายนั่น
01:16
the people up top with the laptops --
21
61000
2000
คนที่มีแลปท๊อปข้างบนนั่นก็ด้วย
01:18
we all have bodies.
22
63000
2000
พวกเราทุกคนมีร่างกาย
01:20
Don't be ashamed.
23
65000
2000
อย่าได้อายค่ะ
01:22
It's something that we have in common
24
67000
2000
มันเป็นสิ่งที่พวกเรามีเหมือนๆ กัน
01:24
and they act as our primary interfaces for the world.
25
69000
3000
มันทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมต่อหลักระหว่างเรากับโลก
01:27
And so when working as an interaction designer,
26
72000
3000
ดังนั้นการทำงานเป็นนักออกแบบระบบปฎิสัมพันธ์
01:30
or as an artist who deals with participation --
27
75000
2000
หรือเป็นศิลปินที่ต้องทำงานกับเรื่องความร่วมมือ
01:32
creating things that live on, in or around the human form --
28
77000
4000
เพื่อสร้างสิ่งต่างๆ ที่เราใช้ หรืออยู่รอบตัวคนเรา
01:36
it's really a powerful space to work within.
29
81000
3000
มันจึงเป็นอะไรที่น่าทึ่งในการทำงานด้วย
01:39
So within my own work,
30
84000
2000
ดังนั้นในงานของฉัน
01:41
I use a broad range of materials and tools.
31
86000
3000
ฉันใช้อุปกรณ์และเครื่องมือหลายประเภทมาก
01:44
So I communicate through everything from radio transceivers
32
89000
3000
เพื่อฉันจะได้สื่อสารผ่านทุกอย่าง ตั้งแต่เครื่องรับส่งวิทยุ
01:47
to funnels and plastic tubing.
33
92000
2000
ไปจนถึงกรวยและท่อพลาสติก
01:49
And to tell you a bit about the things that I make,
34
94000
2000
และเพื่อเป็นการเล่าเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่ฉันทำเล็กน้อย
01:51
the easiest place to start the story
35
96000
2000
จุดที่ง่ายที่สุดในการเริ่มเรื่องคือ
01:53
is with a hat.
36
98000
3000
หมวกคะ
01:56
And so it all started several years ago,
37
101000
2000
ทุกอย่างเริ่มขึ้นเมื่อหลายปีมาแล้ว
01:58
late one night when I was sitting on the subway, riding home,
38
103000
3000
ดึกคืนหนึ่ง ขณะที่ฉันนั่งรถใต้ดินกลับบ้าน
02:01
and I was thinking.
39
106000
2000
ฉันนั่งคิดเล่นๆ ว่า
02:03
And I tend to be a person who thinks too much and talks too little.
40
108000
3000
ฉันมันจะเป็นคนพวกที่คิดมาก แต่พูดน้อยซะด้วย
02:06
And so I was thinking about how it might be great
41
111000
2000
ฉันคิดว่ามันจะดีแค่ไหนนะ
02:08
if I could just take all these noises --
42
113000
2000
ถ้าฉันสามารถเอาเสียงต่างๆ
02:10
like all these sounds of my thoughts in my head --
43
115000
2000
เหมือนกับเสียงความคิดทั้งหมดในหัวฉัน
02:12
if I could just physically extricate them
44
117000
2000
ถ้าฉันสามารถดึงเสียงพวกนี้ออกมา
02:14
and pull them out in such a form
45
119000
2000
และทำให้เป็นรูปร่าง
02:16
that I could share them with somebody else.
46
121000
3000
ที่สามารถแชร์ให้กับคนอื่นๆ ได้
02:19
And so I went home, and I made a prototype of this hat.
47
124000
3000
พอฉันกลับถึงบ้าน และฉันสร้างต้นแบบของเจ้าหมวกใบนี้
02:22
And I called it the Muttering Hat,
48
127000
2000
ฉันเรียกมันว่า "หมวกบ่นพึมพำ"
02:24
because it emitted these muttering noises
49
129000
3000
เพราะมันปล่อยเสียงพึมพำต่างๆ
02:27
that were kind of tethered to you,
50
132000
2000
ที่มาจากตัวคุณ
02:29
but you could detach them
51
134000
2000
แต่คุณสามารถดึงออกมาส่งต่อ
02:31
and share them with somebody else.
52
136000
3000
และแชร์พวกมันให้คนอื่นๆ ได้
02:35
(Laughter)
53
140000
5000
(เสียงหัวเราะ)
02:40
So I make other hats as well.
54
145000
2000
ดังนั้นฉันเลยทำหมวกอื่นๆ ด้วย
02:42
This one is called the Talk to Yourself Hat.
55
147000
2000
อันนี้เรียกว่า "หมวกพูดกับตัวเอง"
02:44
(Laughter)
56
149000
2000
(เสียงหัวเราะ)
02:46
It's fairly self-explanatory.
57
151000
2000
ชื่อค่อนข้างอธิบายในตัวมันอยู่แล้ว
02:48
It physically carves out conversation space for one.
58
153000
4000
มันสร้างพื้นที่สนทนาส่วนตัว
02:52
And when you speak out loud,
59
157000
2000
และเมื่อคุณพูดเสียงดังๆ
02:54
the sound of your voice is actually channeled back into your own ears.
60
159000
4000
เสียงของคุณก็จะถูกส่งกลับไปยังหูของคุณเอง
03:00
(Laughter)
61
165000
2000
(เสียงหัวเราะ)
03:02
And so when I make these things,
62
167000
2000
เมื่อตอนที่ฉันสร้างสิ่งเหล่านี้
03:04
it's really not so much about the object itself,
63
169000
3000
ฉันไม่ได้สนใจตัววัตถุเหล่านี้เท่าไหร่
03:07
but rather the negative space around the object.
64
172000
3000
แต่กลับสนใจอย่างอื่นรอบๆ วัตถุมากกว่า
03:10
So what happens when a person puts this thing on?
65
175000
3000
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อสวมใส่สิ่งนี้บนหัวนะเหรอ?
03:13
What kind of an experience do they have?
66
178000
2000
แล้วประสบการณ์แบบไหนที่พวกเขาจะได้รับกัน?
03:15
And how are they transformed by wearing it?
67
180000
3000
ใส่หมวกแล้วพวกเขาจะเปลี่ยนไปอย่างไรนะ?
03:21
So many of these devices
68
186000
2000
อุปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้
03:23
really kind of focus on the ways in which we relate to ourselves.
69
188000
3000
มุ่งเน้นไปในทางที่แสดงถึงการเชื่อมโยงกับตัวเอง
03:26
So this particular device is called the Gut Listener.
70
191000
3000
อุปกรณ์ตัวนี้เรียกว่า "หูฟังเครื่องใน"
03:29
And it is a tool
71
194000
2000
มันเป็นเครื่องมือ
03:31
that actually enables one
72
196000
2000
ที่ทำให้คนใส่
03:33
to listen to their own innards.
73
198000
3000
สามารถได้ยินเสียงอวัยวะภายในของตัวเองได้
03:36
(Laughter)
74
201000
7000
(เสียงหัวเราะ)
03:43
And so some of these things
75
208000
3000
และอุปกรณ์บางตัวในนี้
03:46
are actually more geared toward expression and communication.
76
211000
2000
สามารถแสดงอารมณ์หรือสื่อสารได้ด้วย
03:48
And so the Inflatable Heart
77
213000
2000
และนี่คือ "หัวใจพองโต"
03:50
is an external organ
78
215000
2000
เป็นอวัยวะภายนอก
03:52
that can be used by the wearer to express themselves.
79
217000
3000
ที่สามารถสวมเพื่อแสดงอารมณ์ต่างๆ ได้
03:55
So they can actually inflate it and deflate it
80
220000
3000
พวกมันสามารถพองและยุบได้
03:58
according to their emotions.
81
223000
2000
ขึ้นกับอารมณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนไป
04:00
So they can express everything from admiration and lust
82
225000
3000
พวกมันสามารถสะท้อนอารมณ์ได้ทุกรูปแบบ ตั้งแต่ชื่นชม ลุ่มหลง
04:03
to anxiety and angst.
83
228000
3000
ไปจนถึงตกใจและโกรธ
04:06
(Laughter)
84
231000
2000
(เสียงหัวเราะ)
04:08
And some of these are actually meant
85
233000
2000
และสิ่งประดิษฐ์บางอันนี้สามารถเป็น
04:10
to mediate experiences.
86
235000
2000
เครื่องมือช่วยไกล่เกลี่ยได้ด้วย
04:12
So the Discommunicator is a tool for arguments.
87
237000
3000
"กระบอกไม่พูด" เป็นเครื่องมือสำหรับเถียงกัน
04:15
(Laughter)
88
240000
2000
(เสียงหัวเราะ)
04:17
And so actually it allows for an intense emotional exchange,
89
242000
3000
มันช่วยให้แลกเปลี่ยนอารมณ์ที่ตึงเครียดกันได้
04:20
but is serves to absorb
90
245000
2000
แต่มันจะช่วยดูดซับ
04:22
the specificity of the words that are delivered.
91
247000
3000
บางส่วนของคำแรงๆ ที่ส่งมา
04:25
(Laughter)
92
250000
6000
(เสียงหัวเราะ)
04:31
And in the end,
93
256000
2000
และสุดท้าย
04:33
some of these things just act as invitations.
94
258000
2000
อุปกรณ์เหล่านี้บางอันทำหน้าที่เชิญชวนด้วย
04:35
So the Ear Bender literally puts something out there
95
260000
3000
ดังนั้น "หูฟังบิดเบี้ยว" จึงสามารถดึงออกได้
04:38
so someone can grab your ear
96
263000
2000
ให้ใครบางคนดึงหูคุณมา
04:40
and say what they have to say.
97
265000
2000
แล้วพูดกรอกในสิ่งที่พวกเขาอยากบอกกับคุณ
04:42
So even though I'm really interested in the relationship
98
267000
2000
ถึงแม้ว่าฉันจะสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์
04:44
between people,
99
269000
2000
ระหว่างคน
04:46
I also consider the ways
100
271000
2000
ฉันก็ยังสนใจวิธีการ
04:48
in which we relate to the world around us.
101
273000
2000
ที่เราจะสื่อสารกับโลกรอบตัวเราด้วยเช่นกัน
04:50
And so when I was first living in New York City a few years back,
102
275000
3000
เมื่อฉันได้ย้ายมาอยู่นิวยอร์กเป็นครั้งแรก เมื่อหลายปีมาแล้ว
04:53
I was thinking a lot about
103
278000
2000
ฉันคิดถึงเรื่อง
04:55
the familiar architectural forms that surrounded me
104
280000
2000
ความคล้ายคลึงของรูปแบบสถาปัตยกรรมรอบตัว
04:57
and how I would like to better relate to them.
105
282000
3000
และฉันจะเชื่อมโยงกับพวกมันมากกว่านี้ได้ยังไง
05:00
And I thought, "Well, hey!
106
285000
2000
ฉันก็นึกขึ้นได้ "เฮ้ เดี๋ยวก่อน
05:02
Maybe if I want to better relate to walls,
107
287000
2000
ถ้าฉันอยากจะเชื่อมโยงกับกำแพงมากกว่านี้
05:04
maybe I need to be more wall-like myself."
108
289000
2000
บางทีฉันคงต้องเป็นเหมือนกำแพงมากกว่านี้"
05:06
So I made a wearable wall
109
291000
2000
ฉันเลยสร้างกำแพงสวมใส่ได้
05:08
that I could wear as a backpack.
110
293000
2000
เพื่อจะสะพายได้เหมือนกระเป๋าเป้หลัง
05:10
And so I would put it on
111
295000
2000
และพอฉันสะพายมัน
05:12
and sort of physically transform myself
112
297000
2000
ก็เหมือนร่างกายฉันเปลี่ยนไปด้วย
05:14
so that I could either contribute to or critique
113
299000
2000
ดังนั้นจึงเป็นว่า ถ้าฉันไม่กลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน
05:16
the spaces that surrounded me.
114
301000
2000
ก็จะเป็นสิ่งแปลกแยกกับสิ่งรอบตัวไปเลย
05:18
(Laughter)
115
303000
2000
(เสียงหัวเราะ)
05:20
And so jumping off of that,
116
305000
3000
นอกจากนั้น ฉันยังคิดไปไกลกว่า
05:23
thinking beyond the built environment into the natural world,
117
308000
3000
สภาพแวดล้อมที่สร้างขึ้น ไปสู่โลกธรรมชาติ
05:26
I have this ongoing project called Botanicalls --
118
311000
3000
ฉันกำลังมีโปรเจคชื่อว่า โบทานิเคิลส์
05:29
which actually enables houseplants
119
314000
2000
ซึ่งช่วยทำให้พืชสวนในบ้าน
05:31
to tap into human communication protocols.
120
316000
2000
สามารถติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ได้
05:33
So when a plant is thirsty,
121
318000
2000
ดังนั้นเมื่อต้นไม้กระหายน้ำ
05:35
it can actually make a phone call
122
320000
2000
มันจะสามารถต่อโทรศัพท์ได้
05:37
or post a message to a service like Twitter.
123
322000
3000
หรือสามารถส่งข้อความอย่างทวิตเตอร์ได้
05:40
And so this really shifts the human/plant dynamic,
124
325000
4000
นี่จะเป็นจุดเปลี่ยนระหว่างคนกับพืช
05:44
because a single house plant
125
329000
3000
เพราะต้นไม้บ้านหนึ่งต้น
05:47
can actually express its needs
126
332000
2000
สามารถแสดงความต้องการ
05:49
to thousands of people at the same time.
127
334000
3000
ให้คนเป็นพันๆ รู้ได้ในเวลาเดียวกัน
05:52
And so kind of thinking about scale,
128
337000
2000
และด้วยความคิดเกี่ยวกับขนาดใหญ่แบบนี้
05:54
my most recent obsession
129
339000
2000
สิ่งที่ฉันกำลังหมกมุ่นในตอนนี้
05:56
is actually with glaciers -- of course.
130
341000
4000
คือกับธารน้ำแข็ง ---- แน่นอน
06:00
And so glaciers are these magnificent beings,
131
345000
3000
ว่าธารน้ำแข็งคือสิ่งน่าอัศจรรรย์
06:03
and there's lots of reasons to be obsessed with them,
132
348000
3000
และมีหลายเหตุผลที่ฉันหมกมุ่นกับมัน
06:06
but what I'm particularly interested in
133
351000
2000
แต่สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษสำหรับฉัน
06:08
is in human-glacier relations.
134
353000
2000
คือความสัมพันธ์ของคนกับธารน้ำแข็ง
06:10
(Laughter)
135
355000
2000
(เสียงหัวเราะ)
06:12
Because there seems to be an issue.
136
357000
2000
เพราะรู้สึกว่าตอนนี้กำลังมีปัญหาอยู่
06:14
The glaciers are actually leaving us.
137
359000
2000
ธารน้ำแข็งกำลังจะจากพวกเราไป
06:16
They're both shrinking and retreating --
138
361000
2000
พวกมันหดตัว ล่าถอย
06:18
and some of them have disappeared altogether.
139
363000
2000
และบางส่วนกำลังหายไปเลย
06:20
And so I actually live in Canada now,
140
365000
3000
ตอนนี้ฉันอาศัยอยู่ในแคนาดา
06:23
so I've been visiting one of my local glaciers.
141
368000
2000
ฉันเลยได้มีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมธารน้ำแข็งในพื้นที่
06:25
And this one's particularly interesting,
142
370000
2000
และอันนี้เป็นอันที่น่าสนใจจริงๆ
06:27
because, of all the glaciers in North America,
143
372000
2000
เพราะ ในบรรดาธารน้ำแข็งทั้งหมดในอเมริกาเหนือ
06:29
it receives the highest volume of human traffic in a year.
144
374000
3000
มันรองรับการจราจรมนุษย์ต่อปีในระดับสูงสุด
06:32
They actually have these buses that drive up and over the lateral moraine
145
377000
3000
มีรถบัสขนาดใหญ่มากมาย วิ่งไปมาอยู่บนธารน้ำแข็ง
06:35
and drop people off on the surface of the glacier.
146
380000
3000
แถมยังปล่อยผู้คน ลงเดินบนพื้นผิวของธารน้ำแข็งด้วย
06:38
And this has really gotten me thinking
147
383000
2000
นี่ทำให้ฉันคิดเกี่ยวกับ
06:40
about this experience of the initial encounter.
148
385000
2000
ประสบการณ์ครั้งแรกกับธารน้ำแข็ง
06:42
When I meet a glacier for the very first time,
149
387000
4000
เมื่อฉันได้เจอธารน้ำแข็งเป็นครั้งแรก
06:46
what do I do?
150
391000
2000
ฉันทำอะไรน่ะหรอ?
06:48
There's no kind of social protocol for this.
151
393000
4000
มันไม่มีธรรมเนียมตายตัวสำหรับเรื่องนี้
06:52
I really just don't even know
152
397000
2000
ฉันไม่รู้จริงๆ
06:54
how to say hello.
153
399000
2000
ว่าจะพูดทักทายมันยังไง
06:56
Do I carve a message in the snow?
154
401000
3000
ฉันควรสลักข้อความลงบนหิมะไหม?
06:59
Or perhaps I can assemble one
155
404000
2000
หรือบางทีฉันอาจรวบรวม
07:01
out of dot and dash ice cubes --
156
406000
2000
ก้อนน้ำแข็ง ทำเป็นจุดกับเป็นขีด
07:03
ice cube Morse code.
157
408000
2000
แบบทำรหัสมอร์สจากน้ำแข็ง
07:05
Or perhaps I need to make myself a speaking tool,
158
410000
2000
หรือบางทีฉันอาจต้องทำเครื่องมือสื่อสารมาใช้
07:07
like an icy megaphone
159
412000
2000
อย่างโทรโข่งน้ำแข็งแบบนี้
07:09
that I can use to amplify my voice
160
414000
2000
ที่จะขยายเสียงของฉัน
07:11
when I direct it at the ice.
161
416000
2000
ระหว่างที่พูดกับน้ำแข็ง
07:13
But really the most satisfying experience I've had
162
418000
2000
แต่ประสบการณ์ที่ฉันพอใจที่สุดที่ได้รับ
07:15
is the act of listening,
163
420000
2000
คือการรับฟังอย่างตั้งใจ
07:17
which is what we need in any good relationship.
164
422000
2000
ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราต้องการมากในทุกความสัมพันธ์ที่ดี
07:19
And I was really struck by how much it affected me.
165
424000
3000
และมันส่งผลต่อฉันเป็นอย่างมาก
07:22
This very basic shift in my physical orientation
166
427000
3000
เพียงแค่เปลี่ยนท่าทางของร่างกายง่ายๆ
07:25
helped me shift my perspective
167
430000
2000
มันช่วยให้ฉันปรับเปลี่ยนมุมมอง
07:27
in relation to the glacier.
168
432000
2000
เกี่ยวกับความสัมพันธ์กับธารน้ำแข็ง
07:29
And so since we use devices
169
434000
2000
และเนื่องจากพวกเราได้ใช้อุปกรณ์ต่างๆ
07:31
to figure out how to relate to the world these days,
170
436000
4000
ในการเชื่อมโยงกับโลกในปัจจุบันนี้
07:35
I actually made a device called the Glacier Embracing Suit.
171
440000
3000
ฉันจึงได้สร้างอุปกรณ์ตัวนึงเรียกว่า ชุดโอบกอดธารน้ำแข็ง
07:38
(Laughter)
172
443000
2000
(เสียงหัวเราะ)
07:40
And so this is constructed out of a heat reflected material
173
445000
3000
มันสร้างจากวัสดุสะท้อนความร้อน
07:43
that serves to mediate the difference in temperature
174
448000
2000
ที่ช่วยลดความแตกต่างทางด้านอุณหภูมิ
07:45
between the human body and the glacial ice.
175
450000
3000
ระหว่างร่างกายมนุษย์กับธารน้ำแข็ง
07:48
And once again, it's this invitation
176
453000
3000
และเป็นอีกครั้ง ที่มันเชิญชวน
07:51
that asks people to lay down on the glacier
177
456000
4000
ให้คนเรานอนลงบนธารน้ำแข็ง
07:55
and give it a hug.
178
460000
3000
และโอบกอดมัน
07:58
So, yea, this is actually just the beginning.
179
463000
2000
นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น
08:00
These are initial musings for this project.
180
465000
2000
เป็นเพียงแค่ความคิดเบื้องต้น สำหรับโปรเจ็คนี้
08:02
And just as with the wall, how I wanted to be more wall-like,
181
467000
3000
เหมือนกับโปรเจ็คกำแพง ที่ทำยังไงให้ฉันเป็นเหมือนกำแพงมากขึ้น
08:05
with this project, I'd actually like to take more a of glacial pace.
182
470000
4000
ด้วยโปรเจ็คนี้ ฉันอยากก้าวเดินไปกับธารน้ำแข็งมากขึ้น
08:09
And so my intent
183
474000
2000
ดังนั้นความตั้งใจของฉัน
08:11
is to actually just take the next 10 years
184
476000
4000
คือในอีก 10 ปีข้างหน้า
08:15
and go on a series of collaborative projects
185
480000
4000
จะมีโปรเจ็คความร่วมมือต่างๆ ในครั้งต่อๆ ไป
08:19
where I work with people from different disciplines --
186
484000
2000
ที่ซึ่งฉันทำงานกับคนจากหลากหลายสาขา
08:21
artists, technologists, scientists --
187
486000
2000
ศิลปิน ผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี นักวิทยาศาสตร์
08:23
to kind of work on this project
188
488000
2000
มาทำงานร่วมกัน
08:25
of how we can improve human-glacier relations.
189
490000
3000
เพื่อหาว่าเราจะพัฒนาความสัมพันธ์ธารน้ำแข็งกับคนได้อย่างไร
08:29
So beyond that, in closing,
190
494000
3000
สุดท้ายนี้
08:32
I'd just like to say that we're in this era
191
497000
3000
ฉันอยากจะบอกว่า พวกเราอยู่ในยุค
08:35
of communications and device proliferation,
192
500000
3000
ของการสื่อสารและอุปกรณ์ทันสมัยมากมาย
08:38
and it's really tremendous and exciting and sexy,
193
503000
3000
ซึ่งเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ น่าตื่นเต้น และเซ็กซี่มาก
08:41
but I think what's really important
194
506000
2000
แต่สิ่งที่ฉันคิดว่ามันสำคัญมากๆ
08:43
is thinking about how we can simultaneously
195
508000
2000
คือคิดหาทางทำอย่างไรให้พวกเรา
08:45
maintain a sense of wonder and a sense of criticality
196
510000
3000
คงความรู้สึกสงสัยและวิเคราะห์ในเวลาเดียวกันได้
08:48
about the tools that we use and the ways in which we relate to the world.
197
513000
3000
เกี่ยวกับเครื่องมือต่างๆ ที่เราใช้และหนทางที่เราเชื่อมต่อกับโลก
08:51
Thanks.
198
516000
2000
ขอบคุณค่ะ
08:53
(Applause)
199
518000
6000
(เสียงปรบมือ)
ABOUT THE SPEAKER
Kate Hartman - Artist and technologistKate Hartman creates devices and interfaces for humans, houseplants, and glaciers. Her work playfully questions the ways in which we relate and communicate.
Why you should listen
Kate Hartman, Professor of Wearable and Mobile Technology at the Ontario College of Art and Design, uses simple, open-source technology to build objects and do-it-yourself kits, such as her Inflatable Heart or Glacier Embracing Suit -- that allow for new modes of expression and communication.
She is the co-creator of Botanicalls, a system for letting plants tweet and call their owners when they need watering, or more sunlight. Aways mixing the whimsical with the thought provoking, Hartman and her work raise key questions about how we communicate with our environment, and with ourselves.
More profile about the speakerShe is the co-creator of Botanicalls, a system for letting plants tweet and call their owners when they need watering, or more sunlight. Aways mixing the whimsical with the thought provoking, Hartman and her work raise key questions about how we communicate with our environment, and with ourselves.
Kate Hartman | Speaker | TED.com