ABOUT THE SPEAKER
Kio Stark - Stranger enthusiast
Kio Stark explores the myriad ways encounters with strangers impact our lives.

Why you should listen

Kio Stark has always talked to strangers. She started documenting her experiences when she realized that not everyone shares this predilection. She's done extensive research into the emotional and political dimensions of stranger interactions and the complex dynamics how people relate to each other in public places.

Her novel Follow Me Down began as a series of true vignettes about strangers placed in the fictional context of a woman unraveling the eerie history of a lost letter misdelivered to her door.

Stark did doctoral work at Yale University’s American Studies program, where she thought a lot about the history of science and medicine, urban studies, art, and race -- and then dropped out. Because she also taught graduate courses at NYU's Interactive Telecommunications Program, numberless people consulted her about whether or not to go back to school. Those conversations inspired Don't Go Back to School, a handbook for independent learners.

Stark is the author of the TED Book When Strangers Meet, in which she argues for the pleasures and transformative possibilities of talking to people you don’t know. 

Beyond strangers, Stark's abiding fixations include the invisibility of technology; how people learn; practices of generosity and mutual aid; the culture, infrastructure and ephemera of cities; mythology and fairy tales; and advocating for independent learning, data literacy, social justice and feminism. Fiction writers get to dive down wonderful rabbit holes, and some of her favorites have been the forging and stealing of art, secret societies, the daily lives of medical examiners, the physics of elementary particles, bridge design, the history of maps, the mechanisms of wrongful conviction and psychoanalysis.

When not writing books, Stark has worked in journalism, interactive advertising, community research and game design. She writes, teaches and speaks around the world about stranger interactions, independent learning and how people relate to technology. She also consults for startups and large companies helping them think about stranger interactions among their users and audiences.

More profile about the speaker
Kio Stark | Speaker | TED.com
TED2016

Kio Stark: Why you should talk to strangers

ไคโอ สตาร์ค (Kio Stark): ทำไมถึงต้องคุยกับคนแปลกหน้า

Filmed:
3,055,719 views

ไคโอ สตาร์ค กล่าวว่า "เมื่อเราคุยกับคนแปลกหน้า คุณกำลังขัดจังหวะชีวิตธรรมดาๆ ของคุณ และของพวกเขาได้อย่างสวยงาม" ในปาฐกถาที่สวยงามนี้ สตาร์ควิเคราะห์ประโยชน์ที่ถูกมองข้ามของการก้าวข้ามความไม่สบายใจที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อต้องเจอกับคนแปลกหน้า และประโยชน์ของการเปิดรับช่วงเวลาที่สั้นแต่ลึกซึ้งของการสร้างสัมพันธ์ที่แท้จริง
- Stranger enthusiast
Kio Stark explores the myriad ways encounters with strangers impact our lives. Full bio

Double-click the English transcript below to play the video.

00:12
There are things we say
0
959
1277
สิ่งที่เรามักจะพูด
00:14
when we catchจับ the eyeตา of a strangerคนแปลกหน้า
1
2261
2396
เมื่อสบสายตากับคนแปลกหน้า
00:16
or a neighborเพื่อนบ้าน walkingที่เดิน by.
2
4681
1722
หรือเพื่อนบ้านที่เดินผ่านมา
00:19
We say, "Helloสวัสดี, how are you?
3
7530
2526
คือ "สวัสดี คุณเป็นอย่างไรบ้าง?
00:22
It's a beautifulสวย day.
4
10080
1708
อากาศดีนะ
00:23
How do you feel?"
5
11812
1189
เป็นไงบ้าง?"
00:25
These soundเสียง kindชนิด of meaninglessไม่มีความหมาย, right?
And, in some waysวิธี, they are.
6
13552
3634
ซึ่งฟังดูไม่มีความหมายอะไรใช่ไหม
แต่ในบางทีก็มี
00:29
They have no semanticความหมาย meaningความหมาย.
7
17210
2359
แต่ไม่มีความหมายในทางภาษา
00:32
It doesn't matterเรื่อง how you are
or what the day is like.
8
20500
3008
คุณจะเป็นอย่างไร หรือวันนี้เป็นอย่างไร
ไม่ได้สำคัญเลย
00:35
They have something elseอื่น.
9
23934
1467
แต่มันมีความหมายในทางอื่น
00:37
They have socialสังคม meaningความหมาย.
10
25425
1887
เป็นความหมายทางสังคม
00:40
What we mean when we say those things is:
11
28051
2479
ความหมายของสิ่งที่เราพูดก็คือ
00:42
I see you there.
12
30554
1261
ฉันเห็นเธออยู่
00:45
I'm obsessedหมกมุ่น with talkingการพูด to strangersคนแปลกหน้า.
13
33764
2797
ฉันหมกมุ่นกับการคุยกับคนแปลกหน้า
00:49
I make eyeตา contactติดต่อ, say helloสวัสดี,
14
37122
2353
ฉันจะสบตา แล้วพูด "สวัสดี"
00:51
I offerเสนอ help, I listen.
15
39499
2565
ฉันให้ความช่วยเหลือ ฉันฟังพวกเขา
00:54
I get all kindsชนิด of storiesเรื่องราว.
16
42699
1680
ฉันพบเจอหลากหลายเรื่องราว
00:57
About sevenเจ็ด yearsปี agoมาแล้ว, I startedเริ่มต้น
documentingจัดเก็บเอกสาร my experiencesประสบการณ์
17
45773
3267
ประมาณเจ็ดปีที่แล้ว
ฉันเริ่มบันทึกประสบการณ์ของฉัน
01:01
to try to figureรูป out why.
18
49064
1875
เพื่อที่จะหาสาเหตุว่าทำไม
01:03
What I foundพบ was that something
really beautifulสวย was going on.
19
51900
4039
ฉันพบว่าบางอย่างที่งดงาม
01:07
This is almostเกือบจะ poeticในบทกวี.
20
55963
1794
นี่ค่อนข้างจะเหมือนบทกวี
01:10
These were really profoundลึกซึ้ง experiencesประสบการณ์.
21
58184
3270
ประสบการณ์เหล่านี้ล้วนลึกซึ้ง
01:13
They were unexpectedไม่คาดฝัน pleasuresความสุข.
22
61478
1880
เป็นความพึงใจที่ไม่คาดคิด
01:15
They were genuineแท้ emotionalอารมณ์ connectionsสัมพันธ์.
23
63382
2465
เป็นความสัมพันธ์ลึกซึ้งทางอารมณ์
01:18
They were liberatingที่ปลดปล่อย momentsช่วงเวลา.
24
66370
1872
เป็นช่วงเวลาที่อิสระ
01:22
So one day, I was standingจุดยืน on a cornerมุม
waitingที่รอ for the lightเบา to changeเปลี่ยนแปลง,
25
70098
4104
วันหนึ่ง ฉันยืนที่หัวมุมถนน
รอให้สัญญาไฟเปลี่ยนสี
01:26
whichที่, I'm a Newใหม่ YorkerYorker,
26
74226
1309
ฉันเป็นคนนิวยอร์ก
01:27
so that meansวิธี I was actuallyแท้จริง standingจุดยืน
in the streetถนน on the stormพายุ drainท่อระบายน้ำ,
27
75559
3507
ซึ่งหมายความว่าฉันยืนอยู่บนถนน
บนท่อระบายน้ำ
01:31
as if that could get me acrossข้าม fasterได้เร็วขึ้น.
28
79667
2347
ราวกับว่านั่นจะช่วยให้ฉัน
ข้ามถนนเร็วขึ้น
01:34
And there's an oldเก่า man
standingจุดยืน nextต่อไป to me.
29
82038
2001
มีชายชราคนหนึ่งยืนข้างๆ ฉัน
01:36
So he's wearingการสวมใส่, like, a long overcoatเสื้อกันหนาว
and sortประเภท of an old-manเก่าคน hatหมวก,
30
84063
4827
เขาใส่เสื้อโค้ทยาวและเหมือนกับหมวกคนแก่
01:40
and he lookedมอง like somebodyบางคน from a movieหนัง.
31
88914
2126
เขาดูเหมือนหลุดออกมาจากหนัง
01:43
And he saysกล่าวว่า to me,
32
91064
1198
เขาพูดกับฉันว่า
01:44
"Don't standยืน there. You mightอาจ disappearหายไป."
33
92286
2551
"อย่าไปยืนตรงนั้น
คุณอาจจะหายไปได้"
01:48
So this is absurdบ้าบอคอแตก, right?
34
96095
1267
แปลกไหมคะ?
01:49
But I did what he said.
I steppedก้าว back ontoไปยัง the sidewalkทางเท้า.
35
97386
2996
แต่ฉันก็ทำตามที่เขาบอก
ฉันถอยหลังหนึ่งก้าวไปยืนที่ทางเท้า
01:52
And he smiledยิ้ม, and he said,
36
100697
1892
เขายิ้มให้และพูดว่า
01:54
"Good. You never know.
37
102613
1881
"ดีครับ คุณไม่มีทางรู้หรอก
01:56
I mightอาจ have turnedหัน around,
38
104518
1427
ผมอาจเผลอหันไปทางอื่น
01:57
and zoopZoop, you're goneที่ไปแล้ว."
39
105969
1507
แล้วก็ วูบ! คุณตกลงไป"
02:01
This was weirdแปลก,
40
109553
1300
แปลกดีค่ะ
02:03
and alsoด้วย really wonderfulยอดเยี่ยม.
41
111638
2429
แต่ก็น่าดีใจ
02:06
He was so warmอบอุ่น, and he was
so happyมีความสุข that he'dเขาต้องการ savedที่บันทึกไว้ me.
42
114091
3317
เขาดูอบอุ่น และดูดีใจที่ได้ช่วยฉันไว้
02:09
We had this little bondพันธบัตร.
43
117977
1497
เกิดสัมพันธ์เล็กๆ ระหว่างเรา
02:11
For a minuteนาที, I feltรู้สึกว่า like
my existenceการดำรงอยู่ as a personคน
44
119987
4163
มีอยู่ครู่หนึ่ง ฉันรู้สึกว่า
การมีอยู่ของฉัน ในฐานะคนๆ หนึ่ง
02:16
had been noticedสังเกตเห็น,
45
124174
1343
รับรู้โดยผู้อื่น
02:18
and I was worthคุ้มค่า savingประหยัด.
46
126335
1935
และฉันมีค่าพอที่จะได้รับการช่วยเหลือ
02:23
The really sadเสียใจ thing is,
47
131058
1627
เรื่องน่าเศร้าอย่างหนึ่งคือ
02:24
in manyจำนวนมาก partsชิ้นส่วน of the worldโลก,
48
132709
1673
หลายๆ ที่ในโลก
02:26
we're raisedยก to believe
that strangersคนแปลกหน้า are dangerousเป็นอันตราย by defaultค่าเริ่มต้น,
49
134406
3930
เราถูกสอนให้เชื่อโดยอัตโนมัติว่า
คนแปลกหน้าอันตราย
02:30
that we can't trustวางใจ them,
that they mightอาจ hurtทำให้เจ็บ us.
50
138360
3118
ว่าเราไม่สามารถไว้ใจพวกเขา
และพวกเขาอาจจะทำร้ายเรา
02:34
But mostมากที่สุด strangersคนแปลกหน้า aren'tไม่ได้ dangerousเป็นอันตราย.
51
142389
2578
แต่คนแปลกหน้าส่วนใหญ่ไม่อันตราย
02:36
We're uneasyไม่สบายใจ around them
because we have no contextบริบท.
52
144991
3288
เรากังวลเวลาอยู่ใกล้พวกเขา
เพราะเราไม่มีข้อมูล
02:40
We don't know what theirของพวกเขา intentionsความตั้งใจ are.
53
148807
2197
เราไม่รู้ว่าเจตนาของพวกเขาคืออะไร
02:43
So insteadแทน of usingการใช้ our perceptionsการรับรู้
and makingการทำ choicesตัวเลือก,
54
151028
3783
ดังนั้นแทนที่เราจะรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส
แล้วเลือกกระทำ
02:46
we relyวางใจ on this categoryประเภท of "strangerคนแปลกหน้า."
55
154835
2445
เรากลับอาศัยการจัดคนไว้ในประเภท
"คนแปลกหน้า"
02:51
I have a four-year-oldสี่ปี.
56
159012
1825
ฉันมีลูกอายุ 4 ขวบ
02:52
When I say helloสวัสดี to people on the streetถนน,
57
160862
1974
เวลาที่ฉันทักทายผู้คนบนท้องถนน
02:54
she asksถาม me why.
58
162861
1308
เธอจะถามฉันว่าทำไม
02:56
She saysกล่าวว่า, "Do we know them?"
59
164820
2576
เธอพูดว่า "เรารู้จักเขารึเปล่า?"
03:00
I say, "No, they're our neighborเพื่อนบ้าน."
60
168324
1857
"ไม่หรอกแต่พวกเขาเป็น
เพื่อนบ้านของเรา" ฉันตอบ
03:02
"Are they our friendเพื่อน?"
61
170895
1413
"พวกเขาเป็นเพื่อนเราเหรอ?"
03:04
"No, it's just good to be friendlyเป็นมิตร."
62
172941
2057
"เปล่า แต่การแสดงความเป็นมิตร
เป็นสิ่งที่ดี"
03:07
I think twiceสองครั้ง everyทุกๆ time
I say that to her,
63
175773
3329
ฉันคิดแล้วคิดอีก
เวลาฉันพูดกับเขาแบบนั้น
03:11
because I mean it,
but as a womanหญิง, particularlyโดยเฉพาะ,
64
179126
3508
เพราะฉันหมายความอย่างนั้นจริงๆ
แต่ในฐานะผู้หญิง
03:14
I know that not everyทุกๆ strangerคนแปลกหน้า
on the streetถนน has the bestดีที่สุด intentionsความตั้งใจ.
65
182658
3770
ฉันรู้ว่าไม่ใช่คนแปลกหน้าบนท้องถนนทุกคน
จะมีเจตนาที่ดี
03:18
It is good to be friendlyเป็นมิตร,
and it's good to learnเรียน when not to be,
66
186873
3854
การเป็นมิตรเป็นสิ่งที่ดี แต่การรู้ว่า
เวลาใดไม่ควรเป็นมิตรก็เป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน
03:22
but noneไม่มี of that meansวิธี
we have to be afraidเกรงกลัว.
67
190751
2356
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า
เราจะต้องหวาดกลัว
03:26
There are two hugeใหญ่ benefitsผลประโยชน์
68
194451
2873
มีประโยชน์อันยิ่งยวดสองประการ
03:29
to usingการใช้ our sensesความรู้สึก insteadแทน of our fearsความกลัว.
69
197348
3095
ของการใช้ความรู้สึก
แทนการใช้ความกลัว
03:33
The first one is that it liberatesปล่อย us.
70
201015
3000
อย่างแรก มันปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ
03:37
When you think about it,
71
205970
1873
คุณลองพิจารณาให้ดี
03:39
usingการใช้ perceptionความเข้าใจ insteadแทน of categoriesประเภท
72
207867
2212
การรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส
แทนการจัดหมวดหมู่คน
03:42
is much easierง่ายดาย said than doneเสร็จแล้ว.
73
210103
1903
พูดง่ายกว่าทำ
03:44
Categoriesหมวดหมู่ are something our brainsสมอง use.
74
212859
2215
การจัดหมวดหมู่เป็นสิ่งที่สมองทำ
03:47
When it comesมา to people,
75
215693
1637
และเมื่อเป็นเรื่องคน
03:49
it's sortประเภท of a shortcutทางลัด
for learningการเรียนรู้ about them.
76
217354
2411
มันเป็นวิธีลัดในการรู้จักคนเหล่านั้น
03:52
We see maleชาย, femaleหญิง, youngหนุ่มสาว, oldเก่า,
77
220900
3638
เรามองเห็นผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก คนชรา
03:56
blackสีดำ, brownสีน้ำตาล, whiteขาว, strangerคนแปลกหน้า, friendเพื่อน,
78
224562
4362
ผิวดำ ผิวแทน ผิวขาว คนแปลกหน้า เพื่อน
04:00
and we use the informationข้อมูล in that boxกล่อง.
79
228948
2405
และเราก็ใช้ข้อมูลจากแต่ละหมวดนั้น
04:04
It's quickรวดเร็ว, it's easyง่าย
80
232112
1718
มันเร็ว มันง่าย
04:05
and it's a roadถนน to biasอคติ.
81
233854
1776
และเป็นวิถีสู่การมีอคติ
04:08
And it meansวิธี we're not thinkingคิด
about people as individualsบุคคล.
82
236052
3869
และนั่นหมายความว่าเราไม่ได้คิดว่า
เขาเหล่านั้นเป็นบุคคล
04:13
I know an Americanอเมริกัน researcherนักวิจัย
who travelsการเดินทาง frequentlyบ่อยๆ
83
241774
3337
ฉันรู้จักนักวิจัยชาวอเมริกัน
ที่เดินทาง
04:17
in Centralศูนย์กลาง Asiaเอเชีย and Africaแอฟริกา, aloneคนเดียว.
84
245135
2810
ไปเอเชียกลางและทวีปแอฟริกา
คนเดียวอยู่บ่อยๆ
04:20
She's enteringป้อน into townsเมือง and citiesเมือง
85
248910
2539
เธอเดินทางไปยังเมืองต่างๆ
04:23
as a completeสมบูรณ์ strangerคนแปลกหน้า.
86
251473
2051
ในฐานะคนแปลกหน้า
04:25
She has no bondsพันธบัตร, no connectionsสัมพันธ์.
87
253937
2165
เธอไม่มีญาติ ไม่มีเครือข่าย
04:28
She's a foreignerชาวต่างชาติ.
88
256126
1349
เธอเป็นคนต่างชาติ
04:29
Her survivalการอยู่รอด strategyกลยุทธ์ is this:
89
257957
2376
วิธีการมีชีวิตรอดของเธอคือ
04:32
get one strangerคนแปลกหน้า to see you
as a realจริง, individualรายบุคคล personคน.
90
260357
3977
พยายามให้คนแปลกหน้าหนึ่งคน
มองเห็นเธอเป็นบุคคลคนหนึ่ง
04:36
If you can do that, it'llมันจะ help
other people see you that way, too.
91
264839
3400
ถ้าทำได้ มันจะช่วยให้คนอื่นๆ
มองเธอแบบนั้นด้วย
04:40
The secondที่สอง benefitประโยชน์ of usingการใช้ our sensesความรู้สึก
has to do with intimacyความใกล้ชิด.
92
268817
4408
ประโยชน์ประการที่สองของการใช้
ประสาทสัมผัสคือความใกล้ชิด
04:46
I know it soundsเสียง
a little counterintuitivecounterintuitive,
93
274003
2395
ฉันรู้ว่ามันฟังดูเหมือนตรงข้ามกัน
04:48
intimacyความใกล้ชิด and strangersคนแปลกหน้า,
94
276422
2097
ความใกล้ชิดและคนแปลกหน้า
04:50
but these quickรวดเร็ว interactionsปฏิสัมพันธ์
can leadนำ to a feelingความรู้สึก
95
278543
4052
แต่การมีปฏิสัมพันธ์อย่างรวดเร็ว
สามารถนำไปสู่ความรู้สึก
04:54
that sociologistsนักสังคมวิทยา call
"fleetingประเดี๋ยวเดียว intimacyความใกล้ชิด."
96
282619
3142
ที่นักสังคมวิทยาเรียกว่า
"ความใกล้ชิดชั่วขณะ"
04:57
So, it's a briefสั้น experienceประสบการณ์
that has emotionalอารมณ์ resonanceเสียงสะท้อน and meaningความหมาย.
97
285785
4350
มันเป็นประสบการณ์สั้นๆ
ที่มีการส่งผ่านความรู้สึกและความหมาย
05:03
It's the good feelingความรู้สึก I got
98
291452
2008
เป็นความรู้สึกที่ดีที่ฉันได้รับ
05:05
from beingกำลัง savedที่บันทึกไว้ from the deathความตาย trapกับดัก
of the stormพายุ drainท่อระบายน้ำ by the oldเก่า man,
99
293484
4342
จากการที่ชายชราช่วยชีวิตฉันไว้
จากท่อระบายน้ำ
05:10
or how I feel like partส่วนหนึ่ง of a communityชุมชน
100
298610
2500
หรือเป็นความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน
05:13
when I talk to somebodyบางคน
on my trainรถไฟ on the way to work.
101
301134
3419
เวลาที่ฉันคุยกับคนแปลกหน้าบนรถไฟ
ระหว่างทางไปทำงาน
05:17
Sometimesบางครั้ง it goesไป furtherต่อไป.
102
305665
2024
บางครั้งมีบางอย่างมากกว่านั้น
05:19
Researchersนักวิจัย have foundพบ
that people oftenบ่อยครั้ง feel more comfortableสบาย
103
307713
5113
นักวิจัยพบว่าคนเราจะรู้สึกผ่อนคลาย
05:24
beingกำลัง honestซื่อสัตย์ and openเปิด
about theirของพวกเขา innerภายใน selvesตัว with strangersคนแปลกหน้า
104
312850
3244
ที่จะซื่อสัตย์และเปิดเผย
ตัวตนของตนเองกับคนแปลกหน้า
05:28
than they do with theirของพวกเขา friendsเพื่อน
and theirของพวกเขา familiesครอบครัว --
105
316118
2683
มากกว่ากับเพื่อนและครอบครัว
05:32
that they oftenบ่อยครั้ง feel
more understoodเข้าใจ by strangersคนแปลกหน้า.
106
320110
3617
และพวกเขารู้สึกว่าคนแปลกหน้า
เข้าใจเขามากกว่า
05:37
This getsได้รับ reportedรายงาน in the mediaสื่อ
with great lamentความเศร้าโศก.
107
325022
3531
สื่อเผยแพร่เรื่องนี้
พร้อมกับร่ำไห้
05:41
"Strangersคนแปลกหน้า communicateสื่อสาร
better than spousesผัวเมีย!"
108
329125
2801
"คนแปลกหน้าสื่อสารดีกว่าคู่ชีวิต"
05:44
It's a good headlineพาดหัว, right?
109
332901
1533
เป็นพาดหัวที่ยอดเยี่ยมใช่มั้ยคะ?
05:47
I think it entirelyอย่างสิ้นเชิง missesพลาดท่า the pointจุด.
110
335547
2280
ฉันคิดว่าพวกเขาเข้าใจผิดหมด
05:51
The importantสำคัญ thing about these studiesการศึกษา
111
339240
1913
ความสำคัญของผลการศึกษานี้
05:53
is just how significantสำคัญ
these interactionsปฏิสัมพันธ์ can be;
112
341177
2793
คือการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่นนั้น
สำคัญอย่างไร
05:56
how this specialพิเศษ formฟอร์ม of closenessความสนิทสนม
113
344795
3104
ความใกล้ชิดที่พิเศษแบบนั้น
05:59
givesจะช่วยให้ us something we need
as much as we need our friendsเพื่อน
114
347923
2778
ให้บางสิ่งที่จำเป็นกับเราพอๆ
กับเพื่อนของเรา
06:02
and our familiesครอบครัว.
115
350725
1190
และครอบครัวของเราอย่างไร
06:04
So how is it possibleเป็นไปได้ that we communicateสื่อสาร
so well with strangersคนแปลกหน้า?
116
352933
3910
แล้วเป็นไปได้อย่างไรที่เราจะสื่อสาร
กับคนแปลกหน้าได้ดีแบบนั้น
06:10
There are two reasonsเหตุผล.
117
358585
1636
มีเหตุผลอยู่สองประการ
06:12
The first one is that
it's a quickรวดเร็ว interactionปฏิสัมพันธ์.
118
360245
2914
อย่างแรกมันเป็นปฏิสัมพันธ์แบบรวดเร็ว
06:15
It has no consequencesผลที่ตามมา.
119
363183
1539
ไม่มีผลกระทบใดๆ
06:17
It's easyง่าย to be honestซื่อสัตย์ with someoneบางคน
you're never going to see again, right?
120
365034
3585
การซื่อสัตย์กับคนที่
คุณจะไม่ได้เจออีกมันง่ายใช่ไหมคะ
06:20
That makesยี่ห้อ senseความรู้สึก.
121
368643
1150
เข้าใจได้
06:22
The secondที่สอง reasonเหตุผล is where
it getsได้รับ more interestingน่าสนใจ.
122
370177
2884
เหตุผลที่สองน่าสนใจมากๆ
06:25
We have a biasอคติ when it comesมา
to people we're closeปิด to.
123
373085
3417
เราจะมีอคติกับคนที่เราใกล้ชิดสนิทสนมด้วย
06:29
We expectคาดหวัง them to understandเข้าใจ us.
124
377359
3167
เราคาดหวังให้พวกเขาเข้าใจเรา
06:32
We assumeสมมติ they do,
125
380550
1229
และเราคิดว่าพวกเขาเข้าใจ
06:33
and we expectคาดหวัง them to readอ่าน our mindsจิตใจ.
126
381803
2136
เราคาดหวังให้พวกเขาอ่านใจเราออก
06:36
So imagineจินตนาการ you're at a partyพรรค,
127
384717
2304
จิตนาการว่าเราอยู่ในงานปาร์ตี้
06:39
and you can't believe
that your friendเพื่อน or your spouseคู่สมรส
128
387045
3602
และคุณก็ไม่เชื่อว่าเพื่อนและคู่ครองของคุณ
06:42
isn't pickingการเลือก up on it
that you want to leaveออกจาก earlyตอนต้น.
129
390671
2803
ไม่รู้ว่าคุณอยากกลับเร็ว
06:45
And you're thinkingคิด,
130
393498
1374
และคุณก็คิด
06:46
"I gaveให้ you the look."
131
394896
1522
"ฉันส่งสายตาให้คุณแล้ว"
06:50
With a strangerคนแปลกหน้า, we have
to startเริ่มต้น from scratchเกา.
132
398696
2515
กับคนแปลกหน้าเราต้องเริ่มต้น
โดยไม่มีอะไรเลย
06:53
We tell the wholeทั้งหมด storyเรื่องราว,
133
401235
1387
เราเล่าเรื่องทั้งหมด
06:55
we explainอธิบาย who the people are,
how we feel about them;
134
403376
3088
เราอธิบายว่าคนเหล่านั้นคือใคร
และเรารู้สึกอย่างไรต่อพวกเขา
06:58
we spellสะกด out all the insideภายใน jokesเรื่องตลก.
135
406488
2168
เราเล่าเรื่องตลกวงในให้เขาฟัง
07:00
And guessเดา what?
136
408680
1476
เกิดอะไรขึ้นรู้ไหมคะ?
07:02
Sometimesบางครั้ง they do
understandเข้าใจ us a little better.
137
410180
2661
บางครั้งพวกเขาเข้าใจเราดีกว่า
07:06
OK.
138
414087
1160
โอเค
07:07
So now that we know
that talkingการพูด to strangersคนแปลกหน้า mattersเรื่อง,
139
415271
3496
เรารู้แล้วว่าการคุณกับคนแปลกหน้าสำคัญ
07:10
how does it work?
140
418791
1392
แล้วมันจะได้ผลได้อย่างไร
07:12
There are unwrittenไม่ได้เขียนไว้ rulesกฎระเบียบ
we tendมีแนวโน้ม to followปฏิบัติตาม.
141
420721
2750
มีกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
ซึ่งเรามักปฏิบัติตาม
07:15
The rulesกฎระเบียบ are very differentต่าง
dependingทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ on what countryประเทศ you're in,
142
423495
3796
กฎเหล่านี้แตกต่างไปตามประเทศที่คุณอยู่
07:19
what cultureวัฒนธรรม you're in.
143
427315
1693
และวัฒนาธรรมของคุณ
07:21
In mostมากที่สุด partsชิ้นส่วน of the US,
144
429032
2129
ส่วนมากในประเทศสหรัฐอเมริกา
07:23
the baselineพื้นฐาน expectationความคาดหวัง in publicสาธารณะ
145
431185
2254
ความคาดหวังพื้นฐานในที่สาธารณะ
07:25
is that we maintainเก็บรักษา a balanceสมดุล
betweenระหว่าง civilityความสุภาพ and privacyความเป็นส่วนตัว.
146
433464
4124
คือการรักษาสมดุลระหว่าง
ความสุภาพและความเป็นส่วนตัว
07:30
This is knownที่รู้จักกัน as civilพลเรือน inattentionการไม่ตั้งใจ.
147
438180
2440
ซึ่งเรียกว่าการเพิกเฉยต่อสังคม
07:33
So, imagineจินตนาการ two people are walkingที่เดิน
towardsไปทาง eachแต่ละ other on the streetถนน.
148
441263
3760
ลองจินตนาการว่ามีคนสองคน
กำลังเดินมุ่งหน้าหากัน
07:37
They'llพวกเขาจะ glanceเหลือบมอง at eachแต่ละ other
from a distanceระยะทาง.
149
445047
2298
พวกเขาจะเหลือบมองกันตั้งแต่ระยะไกล
07:39
That's the civilityความสุภาพ, the acknowledgmentการรับทราบ.
150
447369
1982
นั่นคือความสุภาพ คือการรับรู้คนอีกคนหนึ่ง
07:41
And then as they get closerใกล้ชิด,
they'llพวกเขาจะ look away,
151
449375
2207
และเมื่อเดินเข้ามาใกล้กัน
พวกเขาจะหลบตากัน
07:43
to give eachแต่ละ other some spaceช่องว่าง.
152
451606
1586
เพื่อให้พื้นที่กันและกัน
07:47
In other culturesวัฒนธรรม,
153
455151
1262
ในวัฒนธรรมอื่น
07:48
people go to extraordinaryวิสามัญ lengthsความยาว
not to interactปฏิสัมพันธ์ at all.
154
456437
4907
ผู้คนอาจจะทำมากกว่านี้
นั่นคือไม่มีปฏิสัมพันธ์อะไรกันเลย
07:54
People from Denmarkเดนมาร์ก tell me
155
462533
2234
คนจากเดนมาร์กบอกฉันว่า
07:56
that manyจำนวนมาก Danesเดนมาร์ก are so averseรังเกียจ
to talkingการพูด to strangersคนแปลกหน้า,
156
464791
3608
ชาวเดนมาร์กกลัวการพูดคุยกับคนแปลกหน้า
08:00
that they would ratherค่อนข้าง
missนางสาว theirของพวกเขา stop on the busรถบัส
157
468423
3218
และมักทำให้นั่งรถเลยป้ายที่จะลง
08:03
than say "excuseขอโทษ me" to someoneบางคน
that they need to get around.
158
471665
3351
แทนการพูดว่า "ขอโทษครับ/ค่ะ"
เพื่อให้ผู้อื่นหลีกทาง
08:07
Insteadแทน, there's this elaborateทำอย่างละเอียด
shufflingสับ of bagsกระเป๋า
159
475040
3289
พวกเขาใช้วิธีขยับของ
08:10
and usingการใช้ your bodyร่างกาย to say
that you need to get pastอดีต,
160
478353
3483
และใช้ตัวดันเพื่อบอกให้รู้ว่าต้องการจะไป
08:13
insteadแทน of usingการใช้ two wordsคำ.
161
481860
1831
แทนที่จะใช้วิธีพูด
08:18
In Egyptอียิปต์, I'm told,
162
486178
1869
ในอียิปต์ มีคนเล่าให้ฟังว่า
08:20
it's rudeหยาบ to ignoreไม่สนใจ a strangerคนแปลกหน้า,
163
488731
2292
การเมินคนแปลกหน้าเป็นเรื่องเสียมารยาท
08:23
and there's a remarkableโดดเด่น
cultureวัฒนธรรม of hospitalityการต้อนรับขับสู้.
164
491047
3233
และที่นั่นก็มีวัฒนธรรมการรับแขก
ที่ไม่ธรรมดา
08:27
Strangersคนแปลกหน้า mightอาจ askถาม eachแต่ละ other
for a sipจิบ of waterน้ำ.
165
495312
3056
คนแปลกหน้าอาจจะขอน้ำดื่มจากกันและกัน
08:30
Or, if you askถาม someoneบางคน for directionsคำสั่ง,
166
498392
2704
หรือหากคุณถามทางใครสักคน
08:33
they're very likelyน่าจะ
to inviteเชิญ you home for coffeeกาแฟ.
167
501120
3058
มีความเป็นไปไดเที่พวกเขาจะเชิญคุณ
ไปดื่มกาแฟที่บ้าน
08:37
We see these unwrittenไม่ได้เขียนไว้ rulesกฎระเบียบ
mostมากที่สุด clearlyอย่างเห็นได้ชัด when they're brokenแตก,
168
505441
3528
เราจะเห็นกฎเหล่านี้ได้ชัดเมื่อมีการแหกกฎ
08:41
or when you're in a newใหม่ placeสถานที่
169
509563
2083
หรือเวลาที่คุณไปในที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน
08:43
and you're tryingพยายาม to figureรูป out
what the right thing to do is.
170
511670
3197
และคุณพยายามจะเข้าใจว่าสิ่งที่ควรทำคืออะไร
08:47
Sometimesบางครั้ง breakingทำลาย the rulesกฎระเบียบ a little bitบิต
is where the actionการกระทำ is.
171
515332
5061
บางครั้งการแหกกฎเล็กน้อยคือสิ่งที่ต้องทำ
08:54
In caseกรณี it's not clearชัดเจน,
I really want you to do this. OK?
172
522551
4469
เผื่อว่ายังไม่ชัดเจน
ฉันอยากจะบอกคุณอย่างนี้ โอเคไหมคะ?
08:59
So here'sนี่คือ how it's going to go.
173
527790
1889
มันจะเริ่มแบบนี้ค่ะ
09:01
Find somebodyบางคน who is makingการทำ eyeตา contactติดต่อ.
174
529703
2026
หาคนคนหนึ่งที่สบตาคุณ
09:03
That's a good signalสัญญาณ.
175
531753
1689
นั่นเป็นสัญญาณที่ดี
09:05
The first thing is a simpleง่าย smileยิ้ม.
176
533466
2143
อย่างแรกคือการยิ้ม
09:08
If you're passingที่ผ่านไป somebodyบางคน on the streetถนน
or in the hallwayห้องโถง here, smileยิ้ม.
177
536402
3916
หากคุณเดินผ่านคนคนหนึ่งบนถนน
หรือตามทางเดิน ยิ้มค่ะ
09:12
See what happensที่เกิดขึ้น.
178
540342
1268
แล้วดูว่าเกิดอะไรขึ้น
09:14
Anotherอื่น is triangulationรูปสามเหลี่ยม.
179
542113
2037
อีกอย่างคือทฤษฎีเก้าอี้สามขา
09:16
There's you, there's a strangerคนแปลกหน้า,
180
544552
1679
มีคุณ มีคนแปลกหน้า
09:18
there's some thirdที่สาม thing
that you bothทั้งสอง mightอาจ see and commentคิดเห็น on,
181
546255
4109
และจะมีสิ่งที่สามที่คุณทั้งคู่มองเห็น
และพูดถึงร่วมกันได้
09:23
like a pieceชิ้น of publicสาธารณะ artศิลปะ
182
551134
1987
เช่น งานศิลปะสาธารณะ
09:25
or somebodyบางคน preachingพระธรรมเทศนา in the streetถนน
183
553145
2125
หรือคนที่กำลังสอนศาสนาบนท้องถนน
09:27
or somebodyบางคน wearingการสวมใส่ funnyตลก clothesเสื้อผ้า.
184
555659
2223
หรือคนที่แต่งตัวตลก
09:30
Give it a try.
185
558689
1151
ลองดูนะคะ
09:31
Make a commentคิดเห็น about that thirdที่สาม thing,
and see if startsเริ่มต้น a conversationการสนทนา.
186
559864
3984
ลองพูดคุยกันถึงสิ่งที่สาม
แล้วดูว่ามันช่วยเริ่มบทสนทนารึเปล่า
09:36
Anotherอื่น is what I call noticingสังเกตเห็น.
187
564621
1724
อีกประการที่ฉันเรียกมันว่า
การสังเกต
09:38
This is usuallyมักจะ givingให้ a complimentคำชมเชย.
188
566369
1959
ซึ่งเป็นการให้คำชื่นชม
09:41
I'm a bigใหญ่ fanแฟน of noticingสังเกตเห็น people'sของผู้คน shoesรองเท้า.
189
569003
3256
ฉันชื่นชอบการสังเกตเห็นรองเท้าของผู้อื่น
09:44
I'm actuallyแท้จริง not wearingการสวมใส่
fabulousเหลือเชื่อ shoesรองเท้า right now,
190
572283
2756
ความจริงรองเท้าที่ฉันใส่อยู่
ก็ไม่ได้สวยสักเท่าไหร่
09:47
but shoesรองเท้า are fabulousเหลือเชื่อ in generalทั่วไป.
191
575063
2159
แต่รองเท้าส่วนใหญ่สวยอยู่แล้ว
09:49
And they're prettyน่ารัก neutralเป็นกลาง
as farห่างไกล as givingให้ complimentsชมเชย goesไป.
192
577817
4126
และเป็นวิธีกลางๆ พอที่จะใช้เป็นคำชมได้
09:53
People always want to tell you things
about theirของพวกเขา awesomeน่ากลัว shoesรองเท้า.
193
581967
3608
คนอื่นมักอยากเล่าเรื่องราเกี่ยวกับ
รองเท้าของพวกเขา
09:57
You mayอาจ have alreadyแล้ว experiencedมีประสบการณ์
the dogsสุนัข and babiesทารก principleหลัก.
194
585599
3897
คุณอาจเคยได้ยินเรื่องของกฎสุนัขและเด็ก
10:01
It can be awkwardอึดอัด
to talk to someoneบางคน on the streetถนน;
195
589520
2418
อาจจะแปลกๆ ที่จะพูดกับคนแปลกหน้า
บนท้องถนน
10:03
you don't know how
they're going to respondตอบสนอง.
196
591962
2071
คุณไม่รู้ว่าพวกเขาจะตอบคุณอย่างไร
10:06
But you can always talk
to theirของพวกเขา dogหมา or theirของพวกเขา babyทารก.
197
594057
2542
แต่คุณสามารถพูดกับสุนัข
หรือลูกๆ ของพวกเขา
10:08
The dogหมา or the babyทารก
198
596623
1349
สุนัขหรือเด็ก
10:09
is a socialสังคม conduitรางน้ำ to the personคน,
199
597996
2586
เป็นหนทางการเข้าใกล้ผู้อื่น
10:13
and you can tell by how they respondตอบสนอง
200
601095
2037
และคุณสามารถดูได้จากวิธีที่เขาตอบโต้
10:15
whetherว่า they're openเปิด to talkingการพูด more.
201
603156
1927
ว่าพวกเขาอยากพูดคุยต่อหรือไม่
10:18
The last one I want to challengeท้าทาย you to
202
606156
2165
สิ่งสุดท้ายที่ฉันอยากจะท้าคุณ
10:20
is disclosureการเปิดเผย.
203
608345
1496
คือการเปิดเผย
10:22
This is a very vulnerableอ่อนแอ thing to do,
204
610548
2342
ป็นการกระทำที่เสี่ยง
10:24
and it can be very rewardingที่คุ้มค่า.
205
612914
1516
และมันก็อาจจะคุ่นค่ามากๆ ก็ได้
10:27
So nextต่อไป time you're talkingการพูด to a strangerคนแปลกหน้า
206
615068
2092
ครั้งต่อไปที่คุณคุยกับคนแปลกหน้า
10:29
and you feel comfortableสบาย,
207
617726
1494
และรู้สึกผ่อนคลาย
10:31
tell them something trueจริง about yourselfด้วยตัวคุณเอง,
208
619966
2350
ลองบอกความจริงเกี่ยวกับตัวคุณให้เขาฟัง
10:34
something really personalส่วนบุคคล.
209
622340
1340
ความจริงที่ส่วนตัวสุดๆ
10:36
You mightอาจ have that experienceประสบการณ์
I talkedพูดคุย about of feelingความรู้สึก understoodเข้าใจ.
210
624103
3791
คุณอาจจะได้เจอกับประสบการณ์
ที่ฉันบอกเกี่ยวกับความรู้ที่มีคนเข้าใจ
10:41
Sometimesบางครั้ง in conversationการสนทนา, it comesมา up,
211
629854
1946
บางครั้งมันเกิดขึ้นในบทสนทนา
10:43
people askถาม me, "What does your dadพ่อ do?"
or, "Where does he liveมีชีวิต?"
212
631824
3357
มีคนถามฉันว่า "พ่อของคุณทำอะไร?"
หรือ "เขาอยู่ที่ไหน?"
10:47
And sometimesบางครั้ง I tell them the wholeทั้งหมด truthความจริง,
213
635205
2222
และบางครั้งฉันก็บอกความจริงกับเขาทั้งหมด
10:49
whichที่ is that he diedเสียชีวิต when I was a kidเด็ก.
214
637451
2157
ว่าเขาเสียตั้งแต่ฉันยังเด็ก
10:53
Always in those momentsช่วงเวลา,
215
641386
2017
บ่อยครั้งในชั่วขณะนั้น
10:55
they shareหุ้น theirของพวกเขา ownด้วยตัวเอง experiencesประสบการณ์ of lossการสูญเสีย.
216
643427
2472
พวกเขาจะแบ่งปันประสบการณ์การสูญเสียของเขา
10:58
We tendมีแนวโน้ม to meetพบกัน
disclosureการเปิดเผย with disclosureการเปิดเผย,
217
646407
3136
เรามักจะไปสู่การเปิดเผยด้วยการเปิดเผย
11:01
even with strangersคนแปลกหน้า.
218
649567
1401
แม้กระทั่งกับคนแปลกหน้า
11:04
So, here it is.
219
652453
1652
นั่นแหละค่ะ
11:07
When you talk to strangersคนแปลกหน้า,
you're makingการทำ beautifulสวย interruptionsการหยุดชะงัก
220
655425
3854
เวลาที่เราคุยกับคนแปลกหน้า
คุณกำลังขัดจังหวะ
11:11
into the expectedที่คาดหวัง narrativeการเล่าเรื่อง
of your dailyประจำวัน life
221
659303
3486
ชีวิตธรรมดาๆ ของคุณ
11:14
and theirsของพวกเขา.
222
662813
1219
และพวกเขาได้อย่างสวยงาม
11:16
You're makingการทำ unexpectedไม่คาดฝัน connectionsสัมพันธ์.
223
664790
2143
คุณกำลังสร้างสัมพันธ์
ที่ไม่คาดคิดมาก่อน
11:19
If you don't talk to strangersคนแปลกหน้า,
you're missingหายไป out on all of that.
224
667420
3563
หากคุณไม่คุยกับคนแปลกหน้า
คุณจะพลาดเรื่องเหล่านั้น
11:25
We spendใช้จ่าย a lot of time
225
673544
2278
เราใช้เวลาไปมาก
11:27
teachingการสอน our childrenเด็ก ๆ about strangersคนแปลกหน้า.
226
675846
2577
ไปกับการสอนลูกหลานเกี่ยวกับคนแปลกหน้า
11:30
What would happenเกิดขึ้น if we spentการใช้จ่าย
more time teachingการสอน ourselvesตัวเรา?
227
678764
3893
จะเกิดอะไรขึ้นหากเราใช้เวลา
ในการสอนตัวเราเองมากขึ้น?
11:35
We could rejectปฏิเสธ all the ideasความคิด
that make us so suspiciousพิรุธ of eachแต่ละ other.
228
683441
4343
เราสามารถปฏิเสธความคิดที่ทำให้เรา
น่าสงสัยในสายตาพวกเรากันเอง
11:40
We could make a spaceช่องว่าง for changeเปลี่ยนแปลง.
229
688649
2635
เราสร้างพื้นที่สำหรับการเปลี่ยนแปลงได้
11:44
Thank you.
230
692141
1151
ขอบคุณค่ะ
11:45
(Applauseการปรบมือ)
231
693316
5906
(เสียงปรบมือ)

▲Back to top

ABOUT THE SPEAKER
Kio Stark - Stranger enthusiast
Kio Stark explores the myriad ways encounters with strangers impact our lives.

Why you should listen

Kio Stark has always talked to strangers. She started documenting her experiences when she realized that not everyone shares this predilection. She's done extensive research into the emotional and political dimensions of stranger interactions and the complex dynamics how people relate to each other in public places.

Her novel Follow Me Down began as a series of true vignettes about strangers placed in the fictional context of a woman unraveling the eerie history of a lost letter misdelivered to her door.

Stark did doctoral work at Yale University’s American Studies program, where she thought a lot about the history of science and medicine, urban studies, art, and race -- and then dropped out. Because she also taught graduate courses at NYU's Interactive Telecommunications Program, numberless people consulted her about whether or not to go back to school. Those conversations inspired Don't Go Back to School, a handbook for independent learners.

Stark is the author of the TED Book When Strangers Meet, in which she argues for the pleasures and transformative possibilities of talking to people you don’t know. 

Beyond strangers, Stark's abiding fixations include the invisibility of technology; how people learn; practices of generosity and mutual aid; the culture, infrastructure and ephemera of cities; mythology and fairy tales; and advocating for independent learning, data literacy, social justice and feminism. Fiction writers get to dive down wonderful rabbit holes, and some of her favorites have been the forging and stealing of art, secret societies, the daily lives of medical examiners, the physics of elementary particles, bridge design, the history of maps, the mechanisms of wrongful conviction and psychoanalysis.

When not writing books, Stark has worked in journalism, interactive advertising, community research and game design. She writes, teaches and speaks around the world about stranger interactions, independent learning and how people relate to technology. She also consults for startups and large companies helping them think about stranger interactions among their users and audiences.

More profile about the speaker
Kio Stark | Speaker | TED.com

Data provided by TED.

This site was created in May 2015 and the last update was on January 12, 2020. It will no longer be updated.

We are currently creating a new site called "eng.lish.video" and would be grateful if you could access it.

If you have any questions or suggestions, please feel free to write comments in your language on the contact form.

Privacy Policy

Developer's Blog

Buy Me A Coffee